ตำนานคาวบอยตัวจริงในอเมริกา
1. คาวบอยที่เรารู้จัก
แม้คนทั่วโลกทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่ ส่วนใหญ่รู้จักคำว่า คาวบอย ว่าหมายถึงอะไร แต่น้อยคนมาก ที่จะรู้จักวิถีชีวิตคาวบอยตัวจริงว่าเป็นอย่างไร คนส่วนใหญ่รู้จักคำว่า คาวบอย จากหนังฮอลลีวูดที่เผยแพร่ไปทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 และโด่งดังเป็นที่นิยมกันมากในช่วง 1960 -1980 กลายเป็นรูปแบบหนังที่ยังคงผลิตต่อเนื่องของฮอลลีวูด มาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบัน เราจะพบว่ามีหนังคาวบอยสร้างใหม่ประมาณ 2-3 ปีต่อเรื่อง ซึ่งมีทั้งหนังที่ใหม่จริงๆ และหนังเก่าที่นำมาสร้างใหม่ รวมทั้งหนังคาวบอยประยุกต์แนววิทยาศาสตร์ หนังพวกนี้เป็นเรื่องโม้ เกินจริง ทั้งสิ้น
จากหนังเหล่านี้ คนทั่วไปจึงรู้จักคาวบอยในรูปลักษณ์ของชายชาตรีใส่หมวกปีกกว้าง ขี่ม้าพกปืน อันเป็นบุคลิกลักษณะที่สง่างามสุดเท่ห์ของมนุษย์ทั้งหญิงและชาย น้อยคนที่จะไม่ประทับใจภาพลักษณ์ของพวกคาวบอย และยังเป็นเอกลักษณ์ของคนอเมริกันยุคบุกเบิก ที่เข้าไปตั้งรกรากในดินแดนป่าเถื่อนแถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
1.1 ถิ่นคาวบอยในประวัติศาสตร์
ถิ่นคาวบอยในประวัติศาสตร์คือภาคตะวันตกของอเมริกา รัฐเท็กซัส อาริโซนา คาลิฟอร์เนีย แคนซัส โคโลราโด ดาโกตา ไวโอมิง มอนตานา และรัฐอื่นๆ ดังแสดงอยู่ในแผนที่สหรัฐอเมริกาที่มีรูปคาวบอยประทับอยู่ในรูปที่ 1 หนังคาวบอยคลาสสิกส่วนมากจะเน้นเรื่องราวของคนที่มีอาชีพรับจ้างขี่ม้าต้อนวัว หรือเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ที่ต้องสู้กับแก๊งโจรผู้ร้าย นายทุน หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ชั่วร้าย หรือบางเรื่อง ก็สู้กับพวกอินเดียนแดง หนังคาวบอยพวกนี้คือหนังคาวบอยที่แท้จริง ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ดาราผู้โด่งดังจากหนังพวกนี้ได้แก่ จีน ออทรี(Gene Autry) รอย โรเจอร์ (Roy Rogers) จอห์น เวย์น, คลิ๊นท์ อีสวูด(ในยุคเริ่มต้นแสดงหนังทีวีซีรี่)
ระยะต่อมา มีการสร้างหนังจากประวัติมือปืน โจร หรือมือกฎหมายที่เคยมีชีวิตจริงในอดีต เช่น บุทช์ แคชสิดี้ (Butch Cassidy), บิลลี่ เดอะคิด, เจสสี เจมส์, วายแอตท์ เอิร์ป หนังพวกนี้เรามักจะเหมาเอาว่าเป็นหนังคาวบอย แต่จริงๆ แล้วน่าจะเรียกว่าหนังเวสเทิร์น(Western) ตามฝรั่งเขามากกว่า เพราะตัวเอกไม่ได้มีอาชีพคาวบอย
รูปที่ 1 แผนที่สหรัฐอเมริกา แสดงถิ่นคาวบอยที่มีชื่อเสียง
ลักษณะพิเศษของคาวบอยในหนังส่วนใหญ่ก็คือ ขี่ม้าเร่ร่อน ชอบกินเหล้า เล่นการพนัน และมักมีเรื่องชกต่อยกันในบาร์ พอหนักเข้าก็ท้ากันออกไปดวลปืนกลางถนน ใครไวใครอยู่ ใครช้า ตาย และชื่นชมกันตรงความเท่ห์ของเครื่องแต่งกาย ความเก่ง ทั้งในการชกต่อย ขี่ม้า ความไวและความแม่นปืนของคาวบอยนี่เอง ส่วนพวกโจรหรือมือปืนแม้แต่งตัวเหมือนกัน แต่อาชีพคือฆ่า ปล้น เล่นการพนัน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสมมุติ โม้เกินจริงทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบกับหนังคาวบอยที่ผลิตสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1930 เป็นต้นมา สำหรับคนไทยถือได้ว่าได้ดูหนังคาวบอยดีๆ น้อยมาก มีหนังที่เข้ามาเข้าโรงฉายในไทยไม่น่าจะถึง 10% ของที่ฉายในอเมริกา หนังคาวบอยที่เข้าโรง หรือหนังกลางแปลง ที่มีชื่อเสียงและผู้เขียนเคยได้ดูตั้งแต่สมัยเด็กๆ และยังจำได้ ได้แก่ เชน(Shane-1953), สายน้ำไม่ไหลกลับ(River of No Return-1954), Rio Bravo, How the West was Won, เจ็ดสิงห์แดนเสือ (The Magnificent Seven), ขุมทองแมกแคนน่า(Mackenna’s Gold), ตะวันเพลิง(Red Sun), Silverado, True Grit, The Shootist, The Searchers, Dances With Wolves, Unforgiven, The Out Law Josey Walses หนังเหล่านี้บางเรื่องจำชื่อไทยไม่ได้ และบางเรื่องไม่ทราบว่าเข้ามาฉายครั้งที่เท่าใดแล้ว เพราะมาดูข้อมูลตอนนี้ เขาสร้างตั้งแต่ผู้เขียนยังเป็นทารกอยู่ หรือยังไม่เกิดก็มี
ในยุคหนังคาวบอยอิตาลีโด่งดัง ก็มีหนังมาเข้าโรงฉายในไทยอีกจำนวนหนึ่ง ที่ประทับใจจนพอจำได้ เช่น หนังชุดของ คลิ๊นท์ อีสวูด ได้แก่ A Fistful of Dollars (1964), For A Few Dollars More, The Good The Bad and The Augly และหนังดังอิตาลีอื่นๆ เช่น Django (1966), อย่าแหย่เสือหลับ(They call me Trinity) ภาค 1 (1970) และ 2, Once Upon A Time in The West อีกหลายเรื่องที่จำชื่อไม่ได้แล้ว
ตอนเป็นเด็กยังเรียนชั้นประถม ผู้เขียนโชคดีอยู่หน่อย ที่บ้านอยู่ติดค่ายทหาร คือกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เชียงใหม่ จำได้ว่าแทบทุกคืนวันอังคาร จะมีหนังกลางแปลงของฝ่ายสวัสดิการทหารมาฉายให้ครอบครัวทหารดู เนื่องจากที่นั่นเป็นค่ายใหม่ รอบๆ ยังเป็นป่าอยู่เลย เขาคงกลัวครอบครัวทหารที่ย้ายมาอยู่ใหม่เหงา จึงมีบริการเช่นนี้อยู่หลายปี ชาวบ้านใกล้เคียงก็เข้าไปดูได้ ผมก็เลยได้ดูหนังฟรีตลอด และในจำนวนนั้น มีหนังคาวบอยคลาสสิกอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เด็กๆ แถวนั้น รู้จักเล่นยิงปืน แบ่งพวกสู้กัน เลียนแบบหนังคาวบอยหรือหนังสงครามตั้งแต่นั้น
หนังคาวบอยคลาสสิกที่ประทับใจคนจำนวนมาก เรื่อง เชน (Shane) ซึ่งออกโรงฉายในอเมริกาครั้งแรกปี 1953 เป็นเรื่องเสือปืนไวที่เร่ร่อนไปเจอปัญหาของชาวไร่ชาวนาที่ถูกกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นแย่งที่ดิน เขาจึงเข้าช่วยเหลือ ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่า เชน แต่งกายแบบ บั๊กการู(Buckaroo)ไม่ใช่คาวบอยเท็กซัส
ในยุคที่มีวิดีโอเทปขาย จนก้าวหน้ามาเป็น CD, VCD ดังเช่นทุกวันนี้ มีหนังทั้งดีและยอดแย่ พวกเกรดต่ำต้นทุนถูก เข้ามาขายอีกมากมาย แถมบางเรื่องพากษ์ไทยแบบสุดมั่ว จนเสียรสชาติหนังดีๆ ไปหมด อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นเป็นหนังคาวบอยก็มักจะซื้อไม่เลือก แต่ก็พยายามหาพวกเสียงในฟิล์ม ทำให้ได้ดูหนังคาวบอยคลาสสิกดีๆ มากขึ้นไม่น้อย เช่น หนังที่แสดงโดย จอห์น เวย์น หลายเรื่อง และหนังทีวีซีรี่ดังอย่าง Lonesome Dove, Monte Walsh, Cold Mountain, Broken Trails นอกจากนี้ ยังมีหนังคลาสสิกเก่าแก่ดีๆ เข้ามาอีก เช่น The Big Country, Dual in the Sun, Vera Cruz, Last Train from Gun Hill, Cat Ballou
ในอีกทางหนึ่ง เราสามารถสั่ง DVD หนังดีๆ ทางอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย ทำให้ได้เรียนรู้หนังคาวบอยมากกว่าที่จะหาได้ในไทย
1.2. ลักษณะหนังคาวบอยอเมริกัน
หนังคาวบอยอเมริกันที่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่จะ เน้นเรื่องคุณธรรมของลูกผู้ชาย ความเป็นสุภาพบุรุษ การเสียสละปกป้องความยุติธรรม การปกป้องช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า แสดงให้เห็นความตื่นเต้นจากการแสวงโชคและผจญภัยในดินแดนตะวันตก หนังคาวบอยจำนวนหนึ่งสร้างจากตำนานตะวันตก เช่น Red River, How the West was Won, Into The West, The Chisholms, Ghost Riders in the Sky, บัฟฟาโล บิลล์ บิลลี่ เดอะคิด, เจสสี เจมส์, ไวแอตต์ เอิร์ป, และบางเรื่องเน้นถ่ายทอดเรื่องราวการเสียสละของวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ยุคบุกเบิกอเมริกา เช่น ศึกอะลาโม ประวัติการต่อสู้ของนายพลคัสเตอร์ การต่อสู้และคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างคนขาวกับอินเดียนแดง เช่น The Indian Fighter(ขุมทองอินเดียนแดง). Into The West, Broken Arrows หนังพวกนี้ส่วนใหญ่เน้นให้เห็นความดีความชั่ว ให้เห็นว่าการใช้ปืนฆ่าคนนั้นไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป และจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น มีหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง พระเอกไม่ยอมยิงปืนแม้แต่นัดเดียว แต่ก็สนุกได้รสชาติจนได้รางวัล คือเรื่อง The Big Country (สองสิงห์จ้าวปฐพี)
นอกจากนี้ หนังคาวบอยอเมริกันยุคต้นๆ ตั้งแต่ปี 1930-1955 ซึ่งเป็นยุคของ จีน ออทรี (Gene Autry) และ รอย โรเจอร์ส (Roy Rogers) และวงดนตรีที่รอยตั้งขึ้นชื่อ “Sons of the Pioneers” ซึ่งเป็นยุคที่เรียกว่า Singing Cowboy คือ นักแสดงจะเป็นนักร้อง นักแสดงในตัว ใช้ชื่อตนเองในหนังทุกเรื่อง สร้างเอง แสดงเอง ยิ่งเน้นเรื่องคุณธรรมและความสนุกสนานแบบละครเวที โดยคิดถึงผลที่จะเกิดกับแฟนหนังที่เป็นเด็กๆ อย่างมาก จนกลายเป็นต้นฉบับของหนังคาวบอยชั้นดีในยุคหลัง
โดยทั่วไป จะเห็นได้ว่า หนังคาวบอยอเมริกันที่มีคุณภาพ เป็นหนังที่ช่วยสร้างจิตวิญญาณของสุภาพบุรุษและความอยากเป็นฮีโร่ ในชายหญิงทุกคนที่ชอบหนังประเภทนี้ รวมทั้งช่วยอัดฉีดความรักในทุ่งโล่งและสัตว์เลี้ยง เช่น ม้า วัว ส่งเสริมความรักในการผจญภัยเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า เหมือนคนอเมริกันยุคบุกเบิก ซึ่งทำให้ชาติของเขาเจริญก้าวหน้าจนเป็นอันดับหนึ่งของโลกในหลายๆ ด้าน
1.3. ลักษณะหนังคาวบอยอิตาลี
ประมาณปี ค.ศ. 1960 ตอนต้น อิตาลีฉวยโอกาสตอนที่หนังคาวบอยอเมริการ้างลาจากโรงถ่ายไปพักหนึ่ง สร้างหนังคาวบอยเพื่อให้สะใจคนดูโดยเฉพาะ และยังจ้างดาราอเมริกัน อย่างเช่น คลิ๊นท์ อีสวูด, ชาร์ล บรอนสัน, เฮนรี่ ฟอนด้า, ลี แวนคลิฟ ไปแสดงจนก้าวจากดาราระดับพระรอง จนกลายเป็นพระเอกโด่งดังในวงการไปในที่สุด หนังพวกนี้ปลุกกระแสหนังคาวบอยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ฮอลลีวูดต้องกลับมาสร้างหนังคาวบอยออกมาอีก
ดาราอิตาลีจริงๆ ที่โด่งดัง ได้แก่ ฟรังโก เนโร จากเรื่อง จังโก้ เทอเรนซ์ ฮิลล์ และ บัด สเปนเซอร์ จากเรื่อง อย่าแหย่เสือหลับ(They call me Trinity) และ มอนต์โก เมอรี วูด จากเรื่อง Ringo แต่หนังของพวกเขายังเทียบไม่ได้กับหนังที่แสดงโดยดาราอเมริกันที่กล่าวแล้ว
หนังคาวบอยอิตาลีส่วนใหญ่ จะแสดงให้เห็นการฆ่าคนเป็นเรื่องธรรมดาถึงขั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน แบบเลือดท่วมจอ คล้ายหนังจีนยุคหนึ่ง เน้นบทยียวนกวนประสาท ความแปลกใหม่ อวดอ้างความสามารถในการยิงปืนที่เหนือความเป็นจริง จึงเป็นหนังที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งถ้าจะให้เด็กที่ไร้เดียงสาดูหนังประเภทนี้
มีหนังคาวบอยอิตาลีบางเรื่องเหมือนกันที่เน้นคุณภาพ แต่หาได้ยากมาก ตัวอย่างที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นหนังที่มีสาระสำหรับเด็กๆ บ้าง ได้แก่เรื่อง Blood and Grit ( 10 บัญญัติจอมมือปืน) แสดงโดย มอนโกเมอรี่ วูด และลี แวนคลิฟ
ภาพลักษณ์ของคาวบอยที่โด่งดังจากหนังเรื่อง จังโก้ (Django)
ที่กล่าวมาคือคาวบอยที่เรารู้จัก ซึ่งเป็นภาพสมมุติจากหนังตะวันตกที่หยิบเอาลักษณะโดดเด่นในทางที่ไม่ค่อยดีซะมากกว่า มาขยายความให้ผู้ดูหนังสนุกสนานเท่านั้น ชีวิตคาวบอยที่แท้จริงไม่ได้โลดโผนตื่นเต้นมากมายเช่นนั้น เป็นชีวิตที่ควรแก่การศึกษาอย่างมาก
บทที่ 2. คาวบอยที่แท้จริงคือใคร
ตามความหมายของคำว่า cowboy คาวบอย ที่แท้จริงก็คือ เด็กขี่ม้าเลี้ยงวัว ไม่ใช่มือปืนนักล่าเงินรางวัล ไม่ใช่นายอำเภอ ทหาร หรือตำรวจ เหมือนที่เข้าใจเอาเองจากหนังคาวบอย คำว่า boy ก็รู้กันแล้วว่าแปล่ว่า "เด็กชาย" ที่เขาเรียกเช่นนี้เพราะในยคแรกๆ พวกนี้เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ยังไม่มีงานอื่นทำ ก็มารับจ้างเลี้ยงวัว เจ้าของกิจการส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ก็เลยเรียกพวกเขาว่า บอย เหมือนคนไทยชอบพูดถึงลูกจ้างว่า "เด็กผม" "ให้เด็กๆ เขาทำอยู่" อะไรอย่างนั้นแหละ ก่อนยุคต้อนวัวระยะไกลจากเท็กซัส เมื่อพวกคาวบอยอายุมากขึ้น แต่งงาน มีลูก ก็จะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น หรือพยายามสร้างไร่ปศูสัตว์ของตัวเอง มีคาวบอยจำนวนน้อย ที่ไปไหนไม่รอด ก็จะทำงานรับจ้างในไร่จนแก่ พวกนี้ฝรั่งมักเรียกว่า old cowpoke แปลว่า คาวบอยแก่
ในปัจจุบัน คาวบอยตัวจริงในอเมริกายังคงมีอยู่ในหลายรัฐ โดยเฉพาะแถวเท็กซัส ฟลอริดา และมอนตานา เป็นรัฐที่มีการจ้างคาวบอยมากที่สุด หน้าที่หลักของพวกเขาก็คือ ขี่ม้าเลี้ยงวัว ตีตราวัว ให้ยารักษาโรควัว ป้องกันวัวจากโจรขโมยวัว และทำงานจุกจิกในไร่ เช่นซ่อมรั้วคอกวัว เช่นเดียวกับที่ทำกันมานานกว่า 100 ปี อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ของคาวบอย ตามที่เห็นในหนังคาวบอยดังที่กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคนี้หรือยุคใด เป็นการสร้างภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก มีข้อเขียนของคาวบอยตัวจริงบางคน รวมทั้งของคนที่ศึกษาและคลุกคลีกับชีวิตคาวบอยจริงๆ แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ที่ฮอลลีวูดยัดเยียดให้พวกเขา ข้อเขียนเหล่านี้เคยลงไว้ที่ http://www.cowboymagazine.com/ แต่น่าเสียดายที่เว็บนี้ปิดตัวไปแล้ว
ภาพวาดคาวบอยคลาสสิก โดยจิตรกร C.M. Russell (จาก www.wikipedia.com)
2.2. กำเนิดคาวบอยในอเมริกา
แม้สเปนจะเป็นประเทศต้นตำรับวิถีชีวิตของคนขี่ม้าเลี้ยงวัว แต่คาวบอยที่คนทั่วโลกรู้จัก คือคาวบอยที่พัฒนาตัวเองจากวัฒนธรรมสเปนที่นำไปสู่อเมริกา ทุกวันนี้ คาวบอยในอเมริกายังมีอยู่ ไม่ได้หมดสิ้นไปตามความเจริญที่เกิดขึ้น วิดีโอนี้ แสดงให้เห็นชีวิตคาวบอยตัวจริงในอเมริกายุคปัจจุบันที่น่าดูเรื่องหนึ่ง
2.2.1. ที่มาและความหมายของคำว่า “คาวบอย”
คำว่า คาวบอย อย่างเป็นทางการ จากพจนานุกรม “American Heritage Dictionary” ให้ความหมายขอวงคำว่า cowboy ไว้ว่า
1. A hired man, especially in the western United States, who tends cattle and performs many of his duties on horseback. Also called cowman, cowpoke, cowpuncher, also called regionally buckaroo, vaquero, waddy.
คนรับจ้างในแถบตะวันตกของอเมริกา โดยเฉพาะพวกที่ทำงานส่วนใหญ่ตามหน้าที่บนหลังม้า โดยมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกหลายคำ เช่น คาวแมน, คาวโพก, คาวพั๊นเชอร์, และยังมีคำเรียกเฉพาะบางพื้นที่ เช่น บั๊กการู, บาเกโร และ วาดดี้
2. An adventurous hero.
วีระบุรุษผู้นิยมการผจญภัย
3. Slang. A reckless person, such as a driver, pilot, or manager, who ignores potential risks.
คำแสลง หมายถึงพวกบ้าบิ่น เช่น คนขับรถ, นักบิน หรือ ผู้จัดการ ที่ไม่สนใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ พจนานุกรมอื่นๆ ก็ให้ความหมายที่คล้ายกัน และอาจมากกว่านี้ ในแง่ การใช้คำว่า คาวบอย เป็นกริยา ที่มีความหมายว่า การทำงานเป็นคาวบอย (to work as a cowboy)
ในพจนานุกรม วิกี้พิเดีย อธิบายลักษณะคนที่ถูกเรียกว่าคาวบอยและที่มาของคำว่าคาวบอยอย่างละเอียด ที่น่าสนใจก็คือ คำว่า “คาวบอย(cowboy)“ ซึ่งเกิดจากการนำคำว่า cow มารวมกับคำว่า boy ปรากฏในภาษาอังกฤษครั้งแรก ประมาณปี ค.ศ. 1715-25 โดยเป็นการแปลความหมายมาจากคำว่า วาเคโร(vaquero ออกเสียงสำเนียงสเปนว่า บาเกโร) ในภาษาสเปน ซึ่งหมายถึง คนขี่ม้าเลี้ยงวัว คำว่า vaquero มาจากรากศัพท์ภาษาเสปนว่า vaca ที่แปลว่า วัว (cow) นอกจากนี้ภาษาอังกฤษอีกคำที่แปลว่าคาวบอย ก็คือ บั๊กการู(buckaroo) นั้น ว่ากันว่า เพี้ยนมาจากคำว่า บาเกโร นั่นเอง แต่เป็นการออกเสียงแบบภาษาสเปนสำเนียงอาหรับ
รูปที่ 1 อเมริกันคาวบอยตัวจริง ราวๆ ปี ค.ศ. 1887 (http://www.wikipedia.com)
จริงๆ แล้ว คำว่าคาวบอยถูกใช้ครั้งแรกในยุคต้นอาณานิคม ช่วงมีการปฏิวัติแยกประเทศออกจากการปกครองอังกฤษ ซึ่งเรียกว่าช่วง "สงครามเพื่ออิสรภาพอเมริกา(American War of Independence 1775-1783)" พวกนักการเมืองระดับสูงใช้คำว่าคาวบอย เรียกพวกต่อต้านการปฏิวัติ พวกนี้ชอบขโมยวัวและม้าจากชุมชนที่ต้องการตั้งอาณานิคมของตนเองไปให้พวกรัฐบาลอังกฤษ นายคลาวเดียส สมิธ(Claudius Smith) คือหัวขโมยที่ภักดีต่ออังกฤษคนแรกที่ถูกเรียกว่าคาวบอยในอเมริกา พวกเจ้าหน้าที่ให้ฉายาเขาว่า คาวบอยแห่งรามาพอส(Cow-boy of the Ramapos)
ระบบฮาเซียนดา(hacienda system
ชาวสเปนเป็นชาติแรกที่พัฒนาวัฒนธรรมคาวบอยตามที่รู้จักกันทั่วโลกอยู่ทุกวันนี้ โดยเริ่มต้นรูปแบบการทำปศุสัตว์เป็นระบบที่ใช้พื้นที่กว้างใหญ่มาก เรียกว่า ระบบฮาเซียนดา(hacienda system) ระบบนี้พัฒนาขึ้นในยุคกลางของสเปน (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 507-711 จบยุคประมาณ ค.ศ. 1492) และแพร่กระจายไปในที่ต่างๆ เช่น อาเย็นตินา บราซิล เม็กซิโก และในที่สุดเข้าสู่อเมริกาผ่านทางเม็กซิโก
ระบบฮาเซียนดาหนึ่งๆ เป็นเสมือนธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ ที่พึ่งตัวเองได้แบบครบวงจร ไม่จำกัดเฉพาะว่าเป็นฟาร์มปศุสัตว์เลี้ยงวัวในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า แรนซ์ (ranch) เท่านั้น แต่อาจรวมกิจกรรมอย่างอื่นด้วย เช่น การปลูกพืช ทำเหมืองแร่ และแม้กระทั่งโรงงานขนาดเล็ก ซึ่งในฮาเซียนดาหลายแห่งรวมธุรกิจทุกอย่างเหล่านี้อยู่ด้วยกันในหนึ่งระบบ
ในศตวรรษที่ 16 นักบุกเบิกสเปนนำวิธีการเลี้ยงวัวโดยการใช้คนขี่ม้าดูแลและต้อนฝูงวัวสู่อเมริกา เริ่มต้น ณ จุดที่พวกเขาอพยพเข้าไปในอเมริกายุคแรกๆ คือทางเม็กซิโกและฟลอริดา
จุดแรกที่ชาวสเปนนำม้าและวัวเข้ามาในอเมริกาคือ ฟลอริดา ในปี ค.ศ. 1521 เริ่มต้นไม่กี่ตัว อีกราว 30 ปีกว่าต่อมา จึงเริ่มนำวัวเข้าจำนวน 200 ตัว ซึ่งเป็นจุดกำเนิดคาวบอยในพื้นที่สีเขียวและหนองน้ำเป็นแห่งแรก เรียกว่า พวก แครกเกอร์คาวบอย"Cracker Cowboys" ม้าสายพันธุ์ที่นำเข้าที่นี่เรียกว่า “Cracker Horses” และชื่ออื่นอีกหลายชื่อ เช่น Chickasaw Pony, Seminole Pony, Prairie Pony, Florida Horse, Florida Cow Pony, Grass Gut.
วัวที่นำเข้ามาในยุคนี้ เป็นต้นตระกูลของ วัวเขายาว (Longhorn) ในเท็กซัส ไร่ปศุสัตว์ที่ใหญ่สุดในโลกยังถือว่า อยู่ในฟลอริดา ในรัฐนี้ชาวอินเดียนแดงเผ่าเซมิโนล (Seminole) ได้รับวัฒนธรรมนี้ และทำปศุสัตว์เลี้ยงวัวด้วย จึงมีคาวบอยสายเลือดเซมิโนลหลงเหลืออยู่จนทุกวันนี้
อีกประมาณสองร้อยกว่าปีต่อมา ประมาณปี 1800 จึงเริ่มมีคาวบอยเข้ามาทางเม็กซิโก ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของสเปน มีการนำวัวมาเลี้ยงในอเมริกาทางรัฐเท็กซัสและคาริฟอเนีย วิธีการเลี้ยงวัวแบบระบบไฮเซียนดาจำเป็นสำหรับที่นี่ เนื่องจากพื้นที่มีหญ้าน้อย และอยู่กระจัดกระจายโน่นนิดนี่หน่อย เมื่อเลี้ยงวัวจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่และใช้คนขี่ม้าเพื่อทำงานนี้
ทหารสเปนในอาณานิคมเม็กซิโกช่วงปี 1800
จากหนังคาวบอยเราคงเห็นคาวบอยและอินเดียนแดงในอเมริกาขี่ม้าว่าเป็นเรื่อง ปกติของผู้คนที่นั่น จนทำให้คิดว่าม้าคือสัตว์ท้องถิ่นของอเมริกา แต่จริงๆ แล้ว ม้าเป็นสัตว์นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงว่า ม้าป่าได้สูญพันธุ์ไปจากอเมริกาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งแล้ว ที่เห็นใช้งานเหมือนเป็นสัตว์ท้องถิ่นนั้น เอกสารส่วนใหญ่กล่าวว่าเป็นผลงานของพวกทหารและนักสำรวจชาวสเปนและชาวยุโรป ชาติอื่นอีกหลายชาติ ที่นำม้าสายเลือดอาราเบียน(Arabian), บาร์บ(Barb) และแอนดาลูเซียน(Andalusian) เข้าไปในอเมริกา และปล่อยให้มันกระจัดกระจายไปทั่ว ม้าจำนวนไม่น้อยหลบหนีเข้าป่า ผสมพันธุ์ข้ามสายเลือด กลายเป็นม้าป่าเลือดผสมที่หาได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
วัฒนธรรมคาวบอยยุคแรกในอเมริกาเริ่มต้นมาจากรัฐต่างๆ ในภาคกลางถึงด้านเหนือเม็กซิโกที่ติดกับอเมริกา ซึ่งรัฐส่วนเหนือนี้ต่อมาถูกอเมริกายึดครอง กลายเป็นรัฐทางใต้ เช่น เท็กซัส นิวเม็กซิโก คาลิฟอร์เนีย ก่อนหน้านั้น พวกคาวบอยเม็กซิกันมีอยู่ทั่วไปในถิ่นนี้ แต่แรกเป็นที่รู้จักกันในนามว่า ชาร์โร(Charro) หรือ บาเกโร(vaquero ออกเสียงแบบสเปน) พวกเขาเป็นคาวบอยรับจ้างที่ยากจน ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองเลือดผสมสเปนกับอินเดียนแดง(Native American) ในขณะที่เจ้าของไร่ปศุสัตว์ส่วนใหญ่เป็นพวกสเปนพันธุ์แท้
การแต่งกายของคาวบอยตัวจริง ในถิ่นต่างๆ ที่ยังมีอยู่ของอเมริกาทุกวันนี้ มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะรูปทรงของหมวก ดังภาพต่อไปนี้
2.2.2. คาวบอยในเท็กซัส
ประมาณ ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา ผู้สำเร็จราชการสเปนที่ปกครองเม็กซิโกในขณะนั้น ได้ยกพื้นที่แถบที่เรียกว่ารัฐเท็กซัสในปัจจุบัน ให้เป็นที่ตั้งรกรากของพวกอพยพจากต่างถิ่นที่ไม่ใช่ประชากรเม็กซิโก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนอเมริกัน สตีเฟน เอฟ. ออสติน (Stephen F. Austin) กับพรรคพวกที่อพยพจากภาคตะวันออกอเมริกาไปอยู่ที่นี่ ได้ตั้งชุมชนของตนขึ้นในปี ค.ศ. 1821 โดยตอนแรกก็เหมือนจะทำตัวเป็นพลเมืองเม็กซิโกที่ดี เช่น ต้องใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาหลัก ต่อมามีการรวมตัวก่อการต่อต้านอำนาจรัฐบาลเม็กซิโกขึ้น และนำไปสู่การประกาศแยกเท็กซัสเป็นรัฐอิสระเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1836 (ประกาศอิสรภาพขณะที่ป้อมอะลาโมยังถูกล้อมโดยทหารสหพันธ์รัฐเมกซิโก ศึกอะลาโมที่โด่งดังเกิดขึ้นระหว่าง 23 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 1836 คาดว่าวีรบุรุษอะลาโมทั้งหมดตายโดยไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ) และต่อมาในปี ค.ศ. 1845 ได้เข้ารวมเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา ซึ่งทำให้คนอเมริกันหลั่งไหลไปตั้งรกรากในเท็กซัสมากยิ่งขึ้น
คนอเมริกันในเท็กซัสยุคนั้น ได้รับอิทธิพลวิธีการเลี้ยงวัวแบบคาวบอยมาจากพวกเม็กซิกันบาเกโรอย่างมาก เรียกว่ายืมมาทั้งคำศัพท์และวัฒนธรรมการแต่งตัวแบบคาวบอย และได้นำไปผสมผสานกับวิธีการเลี้ยงวัวที่เคยทำมาในภาคตะวันออกของอเมริกา รวมกับวิธีที่สืบทอดมาจากพวกอพยพชาวอังกฤษ พวกเท็กซัสคาวบอยยุคนั้นส่วนใหญ่ ก็คือพวกคนหนุ่มที่เร่ร่อนรับจ้างทำงานตามไร่ปศุสัตว์ต่างๆ ตามฤดูกาล ซึ่งเป็นแหล่งหาเงินที่ง่ายสุด เนื่องจากไม่มีอุตสาหกรรมและแหล่งงานอื่นๆ
หลังจากสงครามกลางเมืองอเมริกาสิ้นสุดลง วัฒนธรรมคาวบอยแบบนี้ได้แพร่กระจายไปทางเหนือและตะวันออกของอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ และได้ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพพื้นที่และเงื่อนไขอื่นๆ เช่น มีการต้อนวัวระยะไกลเพื่อไปขายในเมืองที่รถไฟไปถึงทางตอนเหนือของเท็กซัส คือรัฐแคนซัสและเนบราสก้า(Nebraska) มีการสร้างเมืองให้เป็นที่พักวัว ระหว่างเดินทาง โดยเตรียมคอกให้เช่า มีน้ำ อาหาร saloon ไว้ตอนรับทั้งวัว และคาวบอย เช่นเมือง อาบิลีน(Abilene) ในรัฐแคนซัส ทำให้มีศัพท์ใหม่เกิดขึ้น คือคำว่า "เมืองวัว (cowtown)"
การต้อนวัวจากเท็กซัสไปขายทางเหนือ เริ่มในปี 1866 (http://www.forttumbleweed.net/cattledrives.html) ก่อนการสร้างเมืองวัว อาบีลีน ไม่นาน แต่การเริ่มต้นเลี้ยงวัวในเท็กซัสเริ่มมาตั้งแต่ปี 1850 โดยชาวไร่ปศุสัตว์คนหนึ่งชื่อ มาเวอริค(Maverick) ได้เริ่มเลี้ยงวัวเขายาวที่พวกสเปนนำมาทางเม็กซิโก เรียกว่าวัวพันธุ์ ลองฮอร์น(longhorns) ฝูงค่อนข้างใหญ่ เมื่อเกิดสงครามกลางเมือง เขาปล่อยให้วัวจำนวนมากหากินอย่างอิสระโดยไม่ตีตรา เมื่อสงครามสิ้นสุด มีวัวของเขาที่ไม่ตีตราออกลูกออกหลานหลายพันตัวกระจายมากมายไปทั่วเท็กซัส ชาวบ้านที่เห็นวัวพวกนี้ ก็จะเรียกมันว่า "นั่นไง มาเวอริค" ดังนั้นจึงมีศัพท์เรียกวัว หรือคน ที่ไร้สังกัด ไม่มีใครเป็นเจ้าของว่า มาเวอริค (maverick) และกลายเป็นหนังคาวบอยดังเรื่องหนึ่งคือ "มาเวอริค ยอดนักเลง"
การเลี้ยงวัวเขายาว ลองฮอร์น ในเท็กซัสแถว ดีนวิลล์ เท็กซัส ใกล้ๆ เส้นทางชิสโฮล์ม
ลักษณะวัวลองฮอร์นในเท็กซัส และเท็กซัสตะวันตก
รูปวาดขบวนต้อนวัวระยะไกล จากเท็กซัสไปขายที่แคนซัส ซึ่งเป็นจุดที่ทางรถไฟเชื่อมอเมริกาฝั่งตะวันออกไปตะวันตกที่ใกล้ที่สุด ระยะทางจากเท็กซัสเกือบ 2000 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ที่เป็นภาพประทับใจของคาวบอยที่มีประสบการณ์จริงเล่าต่อกันมาไม่มีวันจบสิ้น เหตุผลที่ต้องเอาวัวไปขายกันไกลขนาดนี้ ก็เพราะยุคนั้นประชากรวัวในเท็กซัสมากกว่าคนประมาณ 7 เท่่า ราคาวัวตัวละประมาณ 2 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคา ณจุดนำส่งขึ้นรถไฟที่แคนซัส ตัวละประมาณ 20 ดอลลาร์
เต๊นท์ที่พักคาวบอยและรถเสบียงในทุ่งกว้างเท็กซัส ค.ศ. 1934
การคมนาคมในเท็กซัสยุคคาวบอย
การจับวัวในเท็กซัสตะวันตก
หน่วยลาดตระเวณเท็กซัส(Texas Rangers) ที่เรียกว่า คอมปานี ดี (Company D)
หน่วยลาดตระเวณเท็กซัสตอนใต้ ค.ศ. 1946
วิวเม็กซิโก มองจากเท็กซัส
เท็กซัสคาวบอยยุคปัจจุบัน กำลังเตรียมตัวออกไปทำงานต้อนวัว
มีเอกสารบางชิ้นระบุว่า เนื่องจากวัวมาเวอริคแพร่พันธุ์เองมากขึ้นเรื่่อยๆ จนประชากรวัวมากกว่าคนในเท็กซัสหลายเท่า ใครอยากได้เป็นของตัวเองก็แค่ไปต้อนมันมาตีตราของตนเอง ก็จะไม่มีใครว่า จึงมีคาวบอยบางกลุ่ม มีอาชีพไปต้อนวัวมาเวอริคมาตีตราขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน พวกเขาเร่ร่อนไปตั้งเต้นท์พร้อมรถม้าเสบียงตามที่ต่างๆ เพื่อต้อนวัวมาเวอริคมาตีตราขาย และเลี้ยงให้ออกลูกออกหลานเร่ร่อนไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ก็เลยได้ชื่อเรียกจากชาวเมืองทั่วไปว่า พวก มาเวอริค มีหนังคาวบอยทีวีซีรี่บางเรื่อง นำมาสร้างเป็นเรื่องราวได้น่าสนใจทีดียว
ช่วงใกล้สงครามสงบ มี่วัวมากมายในเท็กซัสที่ไร้เจ้าของ ราคามันต่ำประมาณตัวละ 2 ดอลลาร์ จนไม่มีคนสนใจเอาไปขายในตลาด พวกมันก็เลยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังสงครามสงบไม่นาน มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมฝั่งตะวันตกกับตะวันออกของอเมริกา ผ่านแคนซัส ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะต้อนวัวไปส่งขายรัฐอื่นๆ ที่เจริญแล้ว และได้ราคาดีกว่าเป็น 10 เท่า จาก 2 ดอลลาร์ เป็น 20 ดอลลาร์ต่อตัว จึงมีการเปิดตลาดวัวขึ้นที่อาบีลีน ดอด์จ และแคนซัสซีตี้ เส้นทางต้อนวัวไปขายทางเหนือที่สำคัญก็คือชิสโฮล์มเทรล กำไรเห็นๆ เช่นนี้ แถมมีคาวบอยที่ชำนาญทาง คอยหางานรับจ้างต้อนวัวระยะไกลให้มากมาย คอกปศุสัตว์ในเท็กซัสจึงงอกเป็นดอกเห็ด มีคนลงทุนสร้างคอกปศุสัตว์ขนาดใหญ่มโหฬาร กินเนื้อที่ใหญ่โตเป็นแสนๆ ไร่ ขนาดเท่าจังหวัดเชียงใหม่ของไทยก็มี บางไร่ยังดำเนินการอยู่ถึงปัจจุบัน
การต้อนวัวจากเท็กซัสไปส่งที่แคนซัส ใช้ระยะทางเป็นพันไมล์ หรือเกือบ 2 พันกิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ผ่านดินแดนทรุกันดานหลายแห่ง ต้องสู้กับภัยธรรมชาติรอบด้าน เช่น พายุทะเลทราย ฝนตก น้ำท่วม สิงโตภูเขา ต้องข้ามน้ำ หุบเขาสูง แถมยังมีอินเดียนแดง โจรปล้นวัว ที่ต้องระวังและต่อสู้ให้นำวัวผ่านไปให้ได้ งานนี้จึงต้องการคาวบอยที่ทรหด แข็งแกร่งจำนวนมาก อาชีพต้อนวัวจึงเฟื่องฟูอยู่หลายปี กลายเป็นตำนานเล่าขานต่อๆ กันมา ใครผ่านงานนี้ได้ ก็เหมือนเป็นประกาศนียบัตรของความสำเร็จในอาชีพคาวบอย
งานต้อนวัวระยะไกลเฟื่องฟูอยู่ประมาณ 15 ปี และหมดความจำเป็นเมื่อทางรถไฟถูกสร้างมาถึงเท็กซัส อาชีพคาวบอยจึงแทบจะหายไปจากอเมริกา เนื่องจากการคมนาคมขนส่งทางรถไฟ และต่อมามีรถยนต์ ทำให้คาวบอยขี่ม้าต้อนวัวระยะไกลที่มีชื่อเรียกกันอีกอย่างว่า โดรฟเวอร์ (drover) หมดความจำเป็น คาวบอยที่หลงเหลืออยู่ จึงมีหน้าที่แค่ต้อนวัว และทำงานอื่นในไร่ เช่น ซ่อมรั้ว แล้วแต่ความต้องการของนายจ้าง
พวกคาวบอยกำลังแวะซื้อของแถวร้านขายของในเมืองดีนวิลล์(Deanville Trading Post) ช่วงหลังสงครามกลางเมือง
รถเสบียงหรือ chuckwagon ที่ต้องตามไปบริการคาวบอยในทุ่งหญ้าหรือตามรายทางตลอดฤดูทำงาน
2.2.3. คาวบอยในคาลิฟอร์เนีย ชาร์โร(Charro) บาเกโร(vaquero) บั๊กการู(buckaroo)
อาชีพฝึกและดูแลม้าเพื่อเอาไว้ใช้งาน เป็นอาชีพของพวกคาวบอยชาวสเปนและเม็กซิกัน ที่เบ่งบานในคาลิฟอร์เนียและแถบชายแดนเม็กซิโก มาตั้งแต่ยุคคาลิฟอร์เนียยังเป็นอาณานิคมของสเปน ซึ่งคนพวกนี้ตอนนั้นยังถูกเรียกว่า บาเกโร(vaquero) พวกอเมริกันอพยพยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในคาลิฟอร์เนีย จนกระทั่งหลังจากสงครามเม็กซิกันเลิกรา และคาลิฟอร์เนียตกเป็นของอเมริกา พวกเสปนและเม็กซิกันเกือบทั้งหมดถูกบีบให้อพยพกลับไปอยู่เม็กซิโก อเมริกันพวกแรกที่เข้าไปส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกเลี้ยงสัตว์ แต่เป็นพวกทำเหมืองแร่ เพราะเป็นยุคตื่นทองในคาลิฟอร์เนีย ดังนั้น งานดูแลสัตว์เลี้ยงในทุ่งหญ้า โดยเฉพาะวัว จึงเป็นงานของพวกคนหนุ่มสายเลือดผสมสเปนและเม็กซิกันที่ยังอยากจะอยู่ในคาลิฟอร์เนียต่อไป
รูปวาด บาเกโร ในคาลิฟอร์เนียปี 1830
ดังนั้น พวกคาวบอยแถวคาลิฟอร์เนียและพื่้นที่ต่อเนื่องไปถึงที่ราบใหญ่ (Great Basin) คือแถบเนวาด้า ยูทาห์ จึงมีชื่อเรียกทั่วไปว่าพวก บาเกโร หรือ บั๊กการู(buckaroo) แตกต่างจากพวกคาวบอยเท็กซัสตรงที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นพวกที่มีทักษะและความภักดีสูง คือจะทำงานอยู่กับค่ายปศุสัตว์ที่เขาเกิดมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่และมีครอบครัว หรือกล่าวได้ว่า จะอยู่ด้วยกันกับนายจ้างตั้งแต่เกิดจนตาย ในขณะที่คาวบอยเท็กซัสส่วนใหญ่ จะเป็นพวกชอบท่องเที่่ยวผจญภัยที่รับจ้างเร่ร่อนจากไร่หนึ่ง ไปไร่หนึ่ง มีน้อยคนที่อยู่กับนายจ้างรายเดียวจากหนุ่มจนแก่
นอกจากนี้ วิธีการเลี้ยงวัวก็แตกต่างจากเท็กซัสตามสภาพภูมิประเทศ เพราะที่นี่ มีหญ้าเยอะกว่า จึงไม่ต้องต้อนวัวไปหากินไกลๆ การเลี้ยงวัวแบบทุ่งเปิด (Open Range) จึงมีน้อย และการขายวัวก็ขายกันในพื้นที่ ไม่ต้องต้อนวัวไปขายระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรเหมือนในเท็กซัส วิธีการเลี้ยววัวที่นี่จึงมีลักษณะที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสเปนมากกว่า
ปัจจุบันนี้ คาวบอยในคาลิฟอร์เนีย และเนวาดา ส่วนใหญ่รักษาวัฒนธรรมสเปนไว้อย่างค่อนข้างภูมิใจ พวกเขามักใส่หมวกที่ปีกแบนราบมากกว่าบีบให้งอแบบเท็กซัส และชอบจะให้คนเรียกพวกเขาว่า บั๊กการู มากกว่าคาวบอย
2.2.4. คาวบอยแถวฟลอริดา หรือ “แครกเกอร์คาวบอย”
ฟลอริดา ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดคาวบอยแห่งแรกของอเมริกา นานเป็น 100 ปีก่อนเกิดคาวบอยในเท็กซัส ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า นักสำรวจชาวเสปนชื่อ ปอนเซ เดอ ลีออง ( Ponce de León ค้นพบฟลอริดาในปี 1513 ซึ่งเป็นลักษณะของดินแดนที่มีที่ราบสีเขียวกว้างใหญ่ (http://fcit.usf.edu/florida/lessons/cowboys/cowboys.htm) เขากลับไปอีกครั้งในปี 1521 พร้อมคนและบาทหลวงประมาณ 200 คน ม้า 50 ตัวและวัวพันธุ์แอนดาลูเซียน Andalusian จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของวัวพันธุ์ Longhorn ในเท็กซัส แต่ไม่นานกลุ่มนักล่าอานานิคมก็ถูกชาวพื้นเมืองเเผ่า คาลูซา (Calusa) โจมตี ทำให้ปอนเซได้ถูกธนูได้รับบาดเจ็บ ต้องหนีออกจากฟลอริดา และไปเสียชีวิตที่กรุง Havana ในคิวบา ม้าและวัวที่เขานำเข้าฟลอริดาจึงถูกทอดทิ้งให้หากินและสืบพันธุ์อยู่ในพื้นที่
ในปี ค.ศ. 1539 จึงมีนักสำรวจชาวสเปน เฮอร์นานโด เดอ โซโต (Hernando de Soto) นำวัวจำนวนมากกว่าเข้าฟลอริดา แต่เขาย้ายถิ่นสำรวจขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จึงทิ้งวัวจำนวนมากไว้ให้กลายเป็นวัวป่า และมีบางส่วนที่ชาวพื้นเมืองบางเผ่าเก็บไปเลี้ยง จึงถือได้ว่า ฟลอริดาเป็นสถานที่เลี้ยงวัวแห่งแรกของอเมริกา(https://myfloridahistory.org/frontiers/article/20)
ประมาณปี ค.ศ. 1655-1700 จึงมีชาวสเปนอพยพไปตั้งถิ่นฐานในฟลอริดามากขึ้น และเริ่มทำไร่ปศุสัตว์เลี้ยงวัวอย่างจรืงจัง โดยใช้วิธีทำปศุสัตว์ที่สืบทอดมานมนาน คือระบบ รานโซ (rancho) และฮาเชียนด้า((hacienda) ทำให้รัฐนี้กลายเป็นรัฐเลี้ยงวัวที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา คาวบอยขี่ม้าเลี่ยงวัวจึงเริ่มเกิดในอเมริกาที่นี่เป็นครั้งแรก (https://journals.uair.arizona.edu/index.php/rangelands/article/viewFile/11974/11247)
ดังได้กล่าวแล้วว่า ม้าสายพันธุ์ที่ชาวสเปนนำเข้าที่นี่เรียกว่า “Cracker Horses” และชื่ออื่นอีกหลายชื่อ เช่น Chickasaw Pony, Seminole Pony, Prairie Pony, Florida Horse, Florida Cow Pony, Grass Gut.
ปัจจุบันนี้ ไร่ปศุสัตว์ที่ใหญ่สุดในโลกยังถือว่า อยู่ในฟลอริดา ในรัฐนี้ชาวอินเดียนแดงเผ่าเซมิโนล (Seminole) ได้รับวัฒนธรรมนี้ และทำปศุสัตว์เลี้ยงวัวด้วย จึงมี คาวบอยสายเลือดเซมิโนล หลงเหลืออยู่จนทุกวันนี้
คาวบอยแถวรัฐฟลอริดาในยุคศตวรรษที่ 19 และตอนต้นศตวรรษที่ 20 แตกต่างจากคาวบอยแถวเท็กซัสและคาลิฟอร์เนียดังกล่าวแล้ว คนท้องถิ่นเรียกคาวบอยพวกนี้ว่า คาวฮันเตอร์(cowhunter) หรือ แครกเกอร์คาวบอย(cracker cowboy) ซึ่งมีลักษณะแตกต่างที่สำคัญคือ คาวบอยพวกนี้ถือแซ่ยาว แต่ไม่ได้ใช้ตีม้าหรือวัวโดยตรง แต่ใช้เสียงจากปลายแซ่ ที่ออกแบบให้เมื่อสะบัดอย่างแรงในอากาศ จะกระทบกันเป็นเสียงดังคล้ายประทัด ซึ่งฝรั่งเรียกว่า แครกเกอร์ เลยกลายเป็นชื่อ แครกเกอร์คาวบอย อีกอย่างก็คือ พวกนี้ไม่ได้ใช้เชือกหรือบ่วงบาศในการจับวัว แต่ใช้สุนัข ช่วยต้อนวัว เป็นเครื่องมือหลัก ทั้งม้าและวัวแถวฟลอริดาจะตัวเล็กกว่าในเท็กซัส วัวที่นี่น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 600 ปอนด์เท่านั้น แต่มีเขาใหญ่และเท้าใหญ่
รูปที่ 2 แครกเกอร์คาวบอยแถวฟลอริดา(www.wikipedia.com)
วัวสายพันธุ์ Cracker Cattle ที่สเปนนำเข้ามาในฟลอริดา และเชื่อว่าเป็นต้นตระกูล
ของวัวลองฮอร์นในเท็กซัส (https://en.wikipedia.org/wiki/Florida_Cracker_cattle)
แส้ของพวก แครกเกอร์คาวบอย
แครกเกอร์คาวบอย ใช้แส้ฟาดในอากาศให้เกิดเสียงคล้ายจุดประทัด เพื่อไล่วัว
พื้นที่ในรัฐฟลอริดาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีหนองน้ำมากมาย การเลี้ยงวัวที่นี่จึงต่างจากพื้นที่แห้งแล้งและเป็นทะเลทรายในเท็กซัส โดยมีสุนัขช่วยต้อนวัว
แครกเกอร์คาวบอยไม่ต้องใช้เดือยที่อานม้าในการคล้องเชือกเพื่อชักคะเย่อกับวัว พวกเขาจึงไม่ได้ใช้อานม้าแบบตะวันตก(western saddle) แต่ใช้อานแบบ McClellan และบางคนใส่รองเท้าบูตที่ยาวหุ้มถึงเข่าเพื่อป้องกันงูกัด ส่วนหมวกก็จะเป็นหมวกขนสัตว์หรือหญ้าราคาถูก
ม้าและวัวถูกนำมาเลี้ยงในฟลอริดาประมาณปลายศตวรรษที่ 16 ถึง 17 ส่วนใหญ่คอกปศุสัตว์เป็นของรัฐบาลสเปนเพื่อผลิตเสบียงอาหารสำหรับทหารสเปนและขายในประเทศคิวบา คอกปศุสัตว์พวกนี้นำพวกวาเคโรมาจากสเปนส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นพวกอินเดียนแดงเผ่าทีมูกัว(Timucua) ซึ่งในระยะหลังศตวรรษที่ 18 เผ่านี้ถูกโรคระบาดและทหารสเปนฆ่าตายไปเกือบหมด การสู้รบทำให้คอกปศุสัตว์ของสเปนถึงจุดจบ
อินเดียนแดงเผ่าครีก(Creek) และเซมิโนล(Seminole) เข้ามาในพื้นที่แถบนี้ในศตวรรษที่ 18 และทำการเลี้ยงวัวที่หลงเหลืออยู่ แต่พอถึงศตวรรษที่ 19 ก็ถูกคนขาวขับไล่ให้อพยพออกจากพื้นที่ไปอยู่ทางตะวันตกและทางใต้ฟลอริดา และพวกคนขาวเข้าไปแย่งทำคอกปศุสัตว์ขนาดใหญ่แบบทุ่งเปิดจนหมด แหล่งเลี้ยงวัวที่นี่เป็นขุมเสบียงที่สำคัญของรัฐบาลในช่วงสงครามกลางเมือง จนต้องตั้งกองทหารม้าขึ้นมาป้องกันฝูงวัว
นอกจากคาวบอยในพื้นที่ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีคาวบอยในที่อื่นๆ ของอเมริกาที่มีลักษณะแตกต่างออกไปอีกหลายแห่ง เช่น ในฮาวาย และแม้กระทั่งคาวบอยในประเทศแคนาดา โดยทั่วไปแล้ว จะเห็นว่า คาวบอยตัวจริงในยุคก่อนนั้น ก็คือพวกรับจ้างเลี้ยงวัวหลายเชื้อชาติ คือเป็นทั้งคนอเมริกัน สเปน และจำนวนไม่น้อยเป็นพวกอินเดียนแดงและอเมริกันนิโกร
คำที่มีความหมายเหมือนกับคาวบอยมีอยู่หลายคำ ที่ใช้กันในท้องถิ่นแถบต่างๆ ของอเมริกา เช่น คาวพั๊นเชอร์, คาวโพ๊ค, วาดดี้, บั๊กการู (Cow-puncher, Cow Poke, Waddie, Buckaroo) และในภาษาเสปนคือคำว่า “บาเกโร(Vaquero)”
2.3. งานของคาวบอย
หน้าที่ของคาวบอยคือ ขี่ม้าเลี้ยงวัว (herding) ซึ่งหมายถึง คอยดูให้มันหากินเป็นฝูง ในพื้นที่ของไร่ปศุสัตว์ ไม่แตกกระจัดกระจายจนหาไม่เจอ หรือพลัดหลงฝูง หรือถูกพวกโจรมาขใมยไป คอยดูว่ามีน้ำ หญ้า ในพื้นที่เพียงพอ ดูแลรักษาวัวจากโรคภัยไข้เจ็บโดย การให้ยา(doctoring) การพกปืนก็เพื่อใช้เสียงไล่วัวให้มันไปในทางที่ต้องการ ให้สัญญาณเพื่อนคนอื่นๆ และป้องกันตัว ต่อสู้พวกโจร
นอกจากนี้ยังมีงานใหญ่ประจำปีอีก 1-2 ครั้งเรียกว่าการต้อนวัวมารวมฝูง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า ราวด์อัพ(roundup) และ ตีตราวัว (Branding) ในระยะหลังๆ ที่เริ่มมีการกั้นรั้วลวดหนามแบ่งเขตแดนคอกปศุสัตว์ คาวบอยก็มักมีหน้าที่สร้างรั้ว และดูแลซ่อมรั้วด้วย
ราวด์อัพ(Roundup)
Roundup เป็นงานใหญ่ประจำปีของคาวบอย หมายถึงการต้อนวัวที่่ปล่อยเลี้ยงให้หากินอย่างอิสระในทุ่งกว้างใหญ่หลายหมื่นหรือมากกว่า 1 แสนเอเคอร์ (บางแห่งกว้างเป็นล้านไร่ ใหญ่กว่าจังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งพวกวัวจะออกลูกออกหลานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้จำนวน คาวบอยต้องต้อนวัวทั้งหมดให้มารวมกันในบริเวณที่โล่งที่เตรียมไว้ เพื่อวัตถุประสงค์หลักๆ ดังต่อไปนี้
- นับจำนวน
- คัุดเลือกแยกวัวที่ได้ขนาดออกส่งขาย หรือเพื่อการแยกเลี้ยง
- ตีตราวัว(Branding) ที่ซื้อมาใหม่ หรือเกิดใหม่
- นำวัวเจ็บป่วยมารักษา (doctoring)
- ฉีดยาวัคซีนป้องกันโรค
งานนี้ต้องใช้เวลาครั้งละ 2-3 เดือนสำหรับไร่ปศุสัตว์ขนาดใหญ่ เพราะพื้นที่กว้างและอาจเป็นป่า ภูเขา ยากแก่การทำงาน ต้องตีตราวัวเป็นหลายพัน หรือมากกว่าหมื่นตัว งานนี้ต้องการคาวบอยจำนวนมาก หาได้เท่าไรยิ่งดี จึุงมีการเอาลงแขก ช่วยเหลือกันบ้าง หรือจ้างคนเพิ่มในฤดูราวด์อัพ เป็นฤดูการที่เหน็ดเหนื่อยและสนุกสนาน ที่คาวบอย เจ้าของไร่ จากหลายแห่ง มารวมกัน เพื่อช่วยงานซึ่งกันและกัน น่าจะเหมือนเทศกาลเกี่ยวข้าวของไทยในสมัยก่อน
การราวด์อัพในโคโรราโดที่เมืองซิมาร์รอน(Cimarron)ในปี 1898
นักศึกษาอินเดียนแดงเผ่าไชแอนและอราปาโฮ กำลังฝึกการตีตราวัวที่โรงเรียน "Seger Indian School"
ในโอกลาโฮมา ปี ค.ศ. 1900
2.3. เชื้อชาติของคาวบอยในอเมริกา
คนที่รับจ้างเป็นคาวบอยในอเมริกามาจากหลายเผ่าพันธุ์ หาใช่มีแต่คนขาวไม่ ผลการสำรวจสัมมะโนประชากรอเมริกายืนยันว่า คาวบอยมีสองชนชั้นด้วยกัน คือ 1) คาวบอยที่จ้างจากคนในเท็กซัสและรัฐอื่นๆ แถวที่ราบเชิงเขาทางตะวันออก และ 2) พวกเม็กซิกันจากย่านตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา อาชีพนี้เป็นที่นิยมของพวกทาสนิโกรที่ได้รับการปลดปล่อยหลังสงครามกลางเมืองอย่างมาก มีการประมาณว่า 15% ของคาวบอยทั้งหมดมีสายเลือดผสมอัฟริกันอเมริกัน(พวกนิโกรผสม) โดยเริ่มกระจายตามเส้นทางต้อนวัวออกจากเท็กซัสประมาณ 25% จนเหลือ 2-3% ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ในขณะที่คาวบอยสายเลือดเม็กซิกันโดยเฉลี่ยมีอยู่ประมาณ 15% ในเท็กซัสและทางตะวันตกเฉียงใต้
คำศัพท์ที่ใช้เรียกคาวบอย
ที่เว็บไซต์ www.cowboyshowcase.com ได้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับศัพท์ต่างๆ ที่ใช้เรียกพวกคาวบอยและอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ไว้อย่างละเอียดมาก รวมทั้งมีรูปภาพให้ดูด้วย ข้อมูลต่อไปนี้ส่วนใหญ่นำมาจากเว็บไซต์แห่งนี้
2.3.1. โดรฟเวอร์(Drover)
ในยุคปี ค.ศ. 1870 ถึง 1880 มีการจ้างคาวบอยต้อนวัวพันธ์เขายาว(longhorns) จำนวนมากจากเท็กซัส เพื่อไปขึ้นรถไฟทางเหนือและขายส่งต่อไปให้โรงฆ่าสัตว์ คาวบอยพวกนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า โดรฟเวอร์(Drover) แปลตรงตัวก็คือ คนไล่วัว หรือคนต้อนวัว
2.3.2. บั๊กการู(Buckaroo), บาเกโร (vaquero)
คำว่า บั๊กการู เพี้ยนมาจากภาษาเสปนคือ “vaquero” ซึ่งออกเสียงเป็น “บาเกโร” ซึ่งหมายถึงคาวบอยเหมือนกัน แต่ปัจจุบันจะใช้เรียกพวกคาวบอยแถว Great Basin ซึ่งเป็นพื้นที่เป็นแอ่งตรงกลางประเทศสหรัฐอเมริกาทางเหนือของเนวาดา รวมไปถึงแถวไอดาโฮตอนใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือของคาลิฟอร์เนีย และตะวันออกเฉียงใต้ของโอเรกอน คาวบอยพวกนี้นิยมใส่หมวกปีกแบบแบนราบ ไม่ดัดปีกให้โค้งงอนเหมือนคาวบอยทั่วไป ใส่ chinks ขี่ม้าใส่อานแบบ fork saddle พร้อมมี post horns และ bucking rolls
เครื่องแต่งกายแบบเก่าของคาวบอยพวกนี้จะประดับประดาด้วยเงินหรูหรากว่าคาวบอยแถบอื่นๆ ของประเทศ ว่ากันว่า บั๊กการูเป็นพวกคาวบอยหัวสูง ที่ทำงานแค่ขี่ม้าต้อนวัวเท่านั้น พวกเขาจะไม่ยอมทำงานอื่นๆ เช่น การซ่อมรั้ว การป้อนหญ้าให้ม้าหรือวัว การเก็บเกี่ยวหญ้า และงานจุกจิกอื่นๆ งานพวกนี้เขาให้พวกที่เรียกว่า ranch crew หรือ ROSIN JAW: ดังนั้น จึงมีชื่อเรียกพวกบั๊กการูอีกอย่างว่า อัศวินแห่งทุ่งกว้าง
สไตล์การแต่งกายและเครื่องใช้ต่างๆของบั๊กการู รวมทั้งวิธีบังคับม้าของพวกเขาเป็นที่นิยมกันมากในภาคอื่นๆ ของอเมริกาและทั่วโลก
สไตล์การแต่งกายและเครื่องใช้ต่างๆของบั๊กการู
สไตล์การแต่งกายและเครื่องใช้ต่างๆของบั๊กการู
สไตล์การแต่งกายและเครื่องใช้ต่างๆของบั๊กการูหญิง
คาวบอยหญิงยุค ค.ศ. 2000 - www.cowboyshowcase.com
CHARRO ชาร์โร
ชาร์โร เป็นคำเรียกสุภาพบุรุษขี่ม้าในเม็กซิโก พวกนี้ปกติจะแสดงออกโดยการขี่ม้ารวดเร็วและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีลายดอกหรูหรา รวมทั้งการตกแต่งเครื่องใช้ต่างๆ ลักษณะเดียวกัน พวกชาร์โรกำเนิดมาจากรัฐจาลิสโก (Jalisco) และ กูเรโร (Guerrero) ในเม็กซิโก
งานชาร์เรียดา (CHARREADA)
การรวมตัวของชาร์โรเพื่อโชว์หรือแข่งขันฝีมือในการขี่ม้า ต้อนวัว เหมือนงานโรดิโอของอเมริกาเรียกว่า งานชาร์เรียดา (CHARREADA)
งานชาร์เรียดา www.cowboyshowcase.com
เอสคารามูซ่า(ESCARAMUZA) คือผู้หญิงขี่ม้าด้วยอานสุภาพสตรีแบบหันข้างที่เข้าร่วมฝึกต้อนม้าในงานชาร์เรียดา
เอสคารามูซ่า(ESCARAMUZA) www.cowboyshowcase.com
แรงเลอร์ (WRANGLER)
ในกลุ่มของคาวบอย จะมีคนเลี้ยงม้า มีหน้าที่ดูแลม้า เพื่อเตรียมพร้อมให้คาวบอยเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อม้าที่เขาขี่ต้อนวัวเหนื่อยล้า พวกเขาเรียกคนพวกนี้ว่า แรงเลอร์ (WRANGLER: A livestock herder, especially of saddle horses.)
Cow Boss คาวบอสส์ นั้นหมายถึงหัวหน้าคาวบอย ซึ่งมีอำนาจในการสั่งงาน จัดการเกี่ยวกับการงานที่คาวบอยทำ สามารถจ้างงาน หรือไล่คาวบอยออกงานได้ เขาจะรับคำสั่งตรงจากผู้จัดการทั่วไปของไร่
Cowman (คาวแมน), Cattleman (แคตเทิลแมน) เป็นคำหนึ่งที่อาจเข้าใจผิดว่าหมายถึงคาวบอยเช่นกัน แต่จริงๆ แล้ว คำนี้หมายถึงเจ้าของไร่ปศุสัตว์ที่ทำธุรกิจเลี้ยงวัวขนาดใหญ่ (a person who owns or rears cattle on a large scale, usually for beef, esp the owner of a cattle ranch) ส่งขายตลาดทั่วโลก อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นลูกจ้างเหมือนพวกคาวบอยเชียว ในคาลิฟอร์เนียช่วงปี 1848 ยังเรียกเจ้าของไร่ปศุสัตว์เป็นภาษาสเปนว่า ฮาเซนดาโดส (hacendados) ปัจจุบันมีคำอื่นอีก เช่น rancher (แรนเชอร์)
3. คาวบอยในปัจจุบัน
คาวบอยตัวจริงเป็นอย่างไร
จากเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับคาวบอยตัวจริง ที่ปรากฏในวารสารและเว็บไซต์ต่างๆ ที่อ้างไว้ตอนท้ายของหนังสือนี้ รวมทั้งนิยายคาวบอยระดับคุณภาพของนักเขียนที่ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจริงๆ ก่อนเขียน อย่างเช่น หลุยส์ ลามูร์ (Louis L’Amour) ถ้าใครเคยอ่านมาบ้างพอควร จะรู้ว่า วิถีชีวิตของคาวบอยที่แท้จริง ไม่ได้โลดโผนเป็นนักเลงที่ก้าวร้าวรุนแรงอย่างนั้น หากแต่เป็นวิถีชีวิตที่สมถะของสุภาพบุรุษผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร หรือถ้าเป็นพวกรับจ้าง ก็เป็นพวก hard work low pay (งานหนักค่าจ้างต่ำ) ที่รักงานและถือว่างานของตนมีเกียรติ์ เต็มไปด้วยคุณธรรมประจำใจ มีความอุตสาหะ วิริยะ อย่างยิ่ง พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการพึ่งตนเองด้วยหยาดเหงื่อแรงงานที่สุจริต หนักเอาเบาสู้ รวมทั้งยังยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตร ที่น่ายกย่อง เป็นแบบอย่างที่ประทับใจของคนที่ได้รู้จักคบหา จนเล่าขานต่อๆ กันมาถึงทุกวันนี้
มีแมกกาซีนฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “คาวบอยแมกาซีน(Cowboy Magazine)” เป็นแมกกาซีนที่เน้นนำเสนอชีวิตที่แท้จริงของคาวบอยโดยเฉพาะ ดาร์เรลล์ อาร์โนลด์(Darrell Arnold) เจ้าของและผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ได้วางแนวทางของแมกกาซีนแหวกแนวจากที่ต้องจ้างนักเขียนประจำ โดยให้คาวบอยตัวจริงเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาเอง รวมทั้งกิจวัตรประจำวัน หรือเรื่องราวในไร่ปศุสัตว์ โดยใช้สำนวนภาษาของผู้เล่าเอง บรรณาธิการจะไม่แก้ไขปรับปรุงสำนวนใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีการผิดเพื้ยนจากความเป็นจริง อาร์โนลได้กล่าวถึงความเห็นของเขาเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของคาวบอยที่ผิดเพี้ยน ในสายตาของคนทั่วไป และพยายามอธิบายตัวตนของคาวบอยที่แท้จริง ดังนี้
“ผมก่อตั้ง Cowboy Magazine ในปี 1990 โดยมีความตั้งใจเพื่อช่วยชาวคาวบอยอเมริกันให้มีที่เล่าเรื่องราวในชีวิตและส่งเสริมวิถีชีวิตคาวบอยที่แท้จริงของเขา ผมไม่ต้องการสรรเสริญวิถีชีวิตคาวบอยผิดๆ แบบที่ฮอลลีวูดเคยทำมา อย่างเช่น ขี้เมาหยำเป ชอบต่อสู้กันด้วยปืน เป็นพวกมีนิสัยก้าวร้าว และโอ้อวดเกินจริง เป้าหมายของผมต้องการแสดงให้เห็นคาวบอยตามลักษณะที่แท้จริงของเขา ในฐานะคนทำงานที่มีทักษะพิเศษและมีบุคลิกเฉพาะตามวิชาชีพของเขา
คาวบอยคือผู้ชายที่คอยดูแลฝูงวัวอยู่บนหลังม้า และโดยทั่วไปเขาคือลูกจ้างของเจ้าของไร่ปศุสัตว์ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ฝูงวัว และบางทีก็เป็นเจ้าของฝูงม้า(remuda)ด้วย คาวบอยคือผู้มีความรู้ดีในการฝึกและใช้ม้า เพื่อจัดการฝูงวัว ในการใช้ทุ่งหญ้าอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มผลผลิตเนื้อสัตว์ให้ได้สูงสุด และภายใต้ภูมิอากาศและสภาวะแวดล้อมที่เขาจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้งานของเขาสำเร็จได้ คาวบอยคือช่างเทคนิคผู้รู้จักทักษะในการใช้เชือก อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับม้าของเขา เพื่อควบคุมพวกวัวดื้อให้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่วัวพวกนี้มีขนาดเท่าๆ กับตัวคาวบอยนั่นเอง
ยิ่งกว่านี้ ถ้าคาวบอยโชคดีพอ จนสามารถมีครอบครัวและอยู่ในธุรกิจปศุสัตว์ได้ เขาก็อาจจะกลายเป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์เสียเอง หรือมันอาจกลับกลายเป็นว่า สภาวะเศรษฐกิจบังคับให้เจ้าของคอกปศุสัตว์ที่หาเลี้ยงชีพจากคอกของตัวเองอาจต้องกลายเป็นคาวบอยเสียเอง เพราะไม่สามารถหาเงินมาจ้างคาวบอยคนอื่นๆ มาทำงานให้เขาได้ บ่อยครั้ง เจ้าของปศุสัตว์หรือคาวบอยจะมีภรรยาและลูกๆเป็นเพื่อนคาวบอยช่วยงานในไร่ปศุสัตว์ของเขาเอง”
วิถีชีวิตของคนอเมริกันในยุคคาวบอยที่นำมาสร้างหนังกันเสมอๆ คือในช่วงปี 1830 -1920 ซึ่งเป็นยุคที่เรียกว่า The Old West (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Timeline_of_the_American_Old_West) ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความฝันและความหวังมากที่สุด เพราะใครๆ ก็เข้าไปจับจองที่ดินที่ว่างเปล่าได้ตามใจชอบ โดยมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจากแถบตะวันออกและยุโรปเป็นกำลังหนุน เมื่อได้ที่ดินแล้ว แต่ละคนก็พยายามจะบุกเบิกสร้างฐานะครอบครัวของตนเองอย่างเต็มที่ โดยอาชีพหลักในระยะแรกๆ นั้นก็คือทำไร่ข้าวโพดและเลี้ยงวัว เพราะวัวเป็นสัตว์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่แถบตะวันตกมากที่สุด และเนื้อวัวเป็นอาหารที่นิยมกันของพวกผู้ดีมีเงินในภาคตะวันออกของอเมริกาที่เจริญแล้ว ทำให้ขายได้ราคาดี
การดำรงชีวิตของชาวไร่ปศุสัตว์แถบตะวันตกของอเมริกาในยุคคาวบอย ถ้าจะพิจารณาตามกระแสความนิยมร่วมสมัยของคนไทยยุคนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิถีชีวิตแบบพอเพียงอีกแบบหนึ่ง ที่พยายามพึ่งตัวเองในทุกด้าน ซึ่งเป็นลักษณะของสังคมอุดมคติที่มีระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ที่คนไทยบางส่วนฝันหาตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันนี่เอง
มีภาพยนตร์การ์ตูนคาวบอยดีๆ บางเรื่อง เช่น Home on the Range ของ Waltz Disney แสดงให้เห็นจินตนาการวิถีชีวิตแบบพอเพียงที่ชัดเจนมาก คือเป็นเรื่องของครอบครัวเล็กๆ ของแม่ม่ายคนหนึ่ง ที่มีไร่ชื่อ Patch Heaven โดยนางมีพวกสัตว์เช่นเป็ด ไก่ หมู แพะ และวัวจำนวนหนึ่ง
เป็นผู้ช่วยปลูกผักปลูกไม้และเก็บผลผลิตเพื่อกินและส่งขายแบบพอมีพอกิน โดยนางถือว่า พวกสัตว์ทุกตัวเป็นสมาชิกในครอบครัวเท่ากับคนเช่นกัน
น่าเสียดาย ที่พัฒนาการทางเทคโนโลยี ทำให้วิถีชีวิตของคนอเมริกันส่วนใหญ่เปลี่ยนไปสู่ระบบสังคมแบบทุนนิยมสุดโต่ง ที่ทำให้สังคมคาวบอยแบบเศรษฐกิจพอเพียงในตะวันตกได้สูญหายไปเป็นส่วนมาก ที่เหลืออยู่บางส่วนในขณะนี้ สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยค่านิยม และ “ใจ” ที่รักที่จะทำอาชีพแบบดั้งเดิมต่อไปเท่านั้นเอง
การฝืนกระแสทุนนิยมด้วยการชูระบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นความกล้าหาญนี่น่าชื่นชม แต่จะสำเร็จหรือไม่ บทเรียนจากวิถีชีวิตคาวบอยตะวันตก เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาว่า มันเคยเกิดขึ้น และหายไปเพราะอะไร อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งที่เบื่อหน่ายระบบทุนนิยม ก็กำลังเรียกร้องให้เพื่อนร่วมชาตินำค่านิยมและหลักการคุณธรรมในการดำรงชีวิตยุคคาวบอย กลับมาเป็นแนวทางพัฒนาประเทศอีกครั้งหนึ่ง แนวคิดนี้ปรากฏชัดในบทกลอนชื่อ “Bring back the code” ของ Jim Reader ผู้เป็นทั้งกวี นักแต่งเพลงและนักร้องคาวบอยคนหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่งฟังเสียงของเขาได้ที่ http://www.cowboyreview.com/clips.htm
Bring Back the Code
by Jim Reader, Cowboy Entertainer, Canada
In the Old West, you bet it was rough
ในตะวันตกสมัยก่อน เชื่อเลยว่ามันยากลำบาก
Both men and women were hardy and tough
ทั้งหญิงชายต่างแกร่งกล้าและทรหด
For sure there were those who were lawless and mean
แน่ละมีพวกนอกกฎหมายและพวกเอาแต่ได้
But most folks were fine,
แต่คนส่วนใหญ่เป็นคนดี
like you and like me.
เหมือนคุณ เหมือนผม
In the absence of politics, fences and rules
ในภาวะที่ปลอดการเมือง ปลอดรั้วและกฎหมาย
an unwritten 'code' was the West's best tool
“บทบัญญัติ” ที่ไม่ต้องบันทึกคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในยุคนั้น
You behaved, or you could die
คุณต้องทำตาม หรือไม่ก็ตาย
No foolin, no waiting, short trial.
ไม่มีการหลอก ไม่มีการรอ การพิพากษานั้นสั้น
An eye for an eye and a one way trip
ตาต่อตา และการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
to that rangeland in the sky.
สู่ดินแดนทุ่งกว้างบนฟากฟ้าแห่งนั้น
So here we are now in a media blitzed haze
ดังนั้น วันนี้เราจึงมาอยู่ท่ามกลางความสับสนจากสื่อมากมาย
a hundred and twenty years later
ร้อยยี่สิบปีต่อจากนั้นมา
and the 'Code's' lost in space.
“บทบัญญัติ” ก็อันตรธานไปในอวกาศ
Well, I for one think that... well
แต่ ผมคนหนึ่ง ที่คิดว่า
since the world's in the tank
เนื่องจากโลกนี้เหมือนเวียนวนอยู่ในถัง
that living according to the 'Code'
การมีชีวิตอยู่ตาม “บทบัญญัติ”
could redeem us again.
จะนำคุณค่าที่หายไปของพวกเราคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
From techno-speed to quick relief
จากความเร็วของเทคโนโลยีและการปลดปล่อยที่รวดเร็ว
from immediate gratification to ... who know's synthetic meat,
จากความพอใจในทันที ถึง... ใครจะรู้ เนื้อสังเคราะห์
The world's a changing under our nose
โลกคือการเปลี่ยนแปลงอยู่แค่ใต้จมูกของเรา
and the values and principles our forefathers chose
และคุณค่าและหลักการ ที่บรรพบุรุษของเราเลือก
have faded away, like petals off the rose.
ได้จางหายไปเหมือนกลีบกุหลาบที่ร่วงโรย
We're desensitized now
เราถูกทำให้เหมือนวัตถุที่ไร้ความรู้สึกในขณะนี้
through the press, movies, radio, games and TV,
โดยหนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ วิทยุ เกมส์ และทีวี
and it's 'little' eyes and ears
และดวงตา และหูน้อยๆ ทั้งหลาย
that are the victims of this disease
ต่างก็กลายเป็นเหยื่อของโรคร้ายนี้
We're constantly whacked and bombarded by stuff
เราถูกกระหน่ำตีและทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องด้วยสิ่งต่างๆ
It appears there's no limits, nothing is sacred
ปรากฏชัดว่าไม่มีเขตจำกัด ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์
enough is enough.
พอเป็นพอ
Let's go back in time
ลองย้อนกลับไปสู่มิติแห่งเวลา
turn back the clock
หมุนนาฬิกาย้อนกลับ
Back to the Future... major culture shock.
กลับไปสู่อนาคต... ความตื่นตระหนกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่
I know it's cool to be a rebel and not to conform
ผมรู้ว่ามันง่ายที่จะเป็นผู้ต่อต้านและไม่ยอมเป็นผู้ยอมทำตาม
But heck, nowadays your an outcast 'Pollyanna"
แต่ ฮึ, ทุกวันนี้ คุณจะถูกขับไล่ออกจากสังคม “มองโลกในแง่ดี”
If your friendly and warm.
ถ้าคุณเป็นคนกันเองและอบอุ่น
Imagine all people, in person or .. say on the phone
จินตนาการดูว่า คนทุกคน ปฏิบัติต่อกันไม่ว่าโดยตรง หรือทางโทรศัพท์
using kindness and kinship
ด้วยความเมตตากรุณา
that frontiersmen had known.
ดังเช่นคนยุคบุกเบิกได้กระทำมา
At its purest and best, this Code of the West
อย่างบริสุทธิ์ที่สุดและดีที่สุด, แห่ง “บทบัญญัติแห่งตะวันตก” นี้
was personal traits that stood the test.
ด้วยสันดานเฉพาะตนที่ยืนยัดสู้ทนการทดสอบ
If more people had the cowboy's touch
ถ้ามีคนได้รับรู้ “สัมผัสแห่งคาวบอย” มากขึ้น
at courtesy, manners, respect and such,
ที่ความเอื้อเฟื้อ, กริยามารยาท, ความนับถือ และอื่นๆ
they find right quick that integrity and honor
พวกเขาจะพบได้อย่างเร็วว่า ความซื่อสัตย์และเกียรติศักดิ์
are powerful stuff.
คือพลังอันยิ่งใหญ่
Yup, the Code's behaviours, principles and values we need
ใช่, บทบัญญัติแห่งพฤติกรรม, หลักการ และคุณค่าที่เราต้องการ
to rope-in the indigence and rein-in the greed.
เพื่อผูกมัดไว้ซึ่งความยากไร้และความตระกะ
So here's to the Westerners
ดังนี้ ขอฝากถึงชาวตะวันตกทั้งหลาย
and their qualities of old,
และคุณภาพอันเก่าแก่ของพวกเขา
Dear God, bring back the Code.
พระเจ้า โปรดนำ “บทบัญญัติแห่งตะวันตก” นั้นกลับคืนมา
There aren't many people who still live the way we do, working in the sun all the time and shoveling manure every day (มีคนไม่มากนักที่ยังใช้ชีวิตเหมือนดังที่เราเป็นอยู่ ทำงานใต้แสงแดดตลอดเวลา และต้องใช้พลั่วตักปุ๋ยมูลสัตว์ทุกวัน). ภาพโดย: Cynthia Baldauf จาก http://www.associatedcontent.com/
ความหมายของคำว่า คาวบอย สำหรับคนอเมริกันปัจจุบัน ไม่ได้หมายถึงแค่ผู้ชายขี่ม้าต้อนวัวที่มีลักษณะดังที่เห็นในหนังเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้หญิงที่ขี่ม้าต้อนวัวด้วย แม้จะมีคำว่า คาวเกิร์ล(Cowgirl) ให้เห็นก็ตาม แต่คนอเมริกันที่เป็นพวกนิยมวิถีชีวิตคาวบอยจริงๆ เขาไม่ชอบคำนี้เท่าไร เพราะมันหมายถึงพวกนางแบบ หรือพวกนักแสดงที่รับจ้างแต่งตัวแบบคาวบอยเพื่อหวังผลทางโฆษณามากกว่า
ศัพท์อเมริกันคาวบอยฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย อย่างเช่น ที่ www.cowboyshowcase.com ก็ให้ความหมายว่า “COWGIRL: We prefer the term female cowboy and the term cowboy, as used in this site, refers to both genders.”แปลว่า เขาเห็นว่าไม่ควรเรียกคาวเกิร์ล น่าจะเรียกว่า คาวบอยหญิง(female cowboy) มากกว่า ทั้งนี้เพราะคำว่าคาวบอยนั้นเขาหมายถึงผู้มีอาชีพขี่ม้าเลี้ยงวัวทั้งสองเพศ และจริงๆ แล้ว ผู้คนในวงการคาวบอยที่แท้จริง เขาใช้คำๆ นี้เป็นทั้งคำนามและกริยาไปแล้ว คือถ้าเป็นคำนาม ก็หมายถึงคาวบอยทั้งหญิงและชาย แต่ถ้าเป็นคำกริยา หมายถึงการขี่ม้าต้อนวัว ทั้งที่เจ้าของไร่ปศุสัตว์ทำเอง หรือการไปรับจ้างทำงานนี้ให้คนอื่น
บทความเรื่อง “Living a Cowboy’s Life” (การมีชีวิตอยู่แบบคาวบอย) เขียนโดย แดเนียล มิลเลอร์(Daniel Miller) คาวบอยระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยมอนตานา(University of Montana) ซึ่งเขียนไว้ในนิตยสาร Span ประจำเดือนมกราคม/กุมภาพันธุ์ 2550 นี้ (http://usembassy.state.gov/posts/in1/wwwhspjanfeb0730.html) มีตอนหนึ่งเขียนถึงคำว่าคาวบอยในปัจจุบันไว้น่าสนใจมาก ดังนี้
“แม้จะมีความสนใจและความนิยมคาวบอยอย่างมาก แต่วิถีชีวิตที่แท้จริงของคาวบอยตัวจริงที่ทำงานต้อนวัวจริงๆ ยังเป็นที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดๆ ด้วยว่า คาวบอยที่แท้จริงนั้น ไม่มีในโลกอีกแล้ว เพราะเข้าใจว่า งานเลี้ยงวัวในยุคนี้ เขาทำกันโดยใช้รถปิกอัพ มอเตอร์ไซด์ และเฮลิคอปเตอร์กันหมด ไม่มีใครใช้ม้าต้อนวัวกันอีกแล้ว
แต่ในความเป็นจริง คาวบอยตัวจริง ที่ทำงานคาวบอยจริงๆ ยังอยู่ ยังมีอยู่ทั่วอเมริกาแถบตะวันตก พวกเขายังขี่ม้าต้อนวัว และพวกเขาใช้คำว่า “คาวบอย” ทั้งในรูปกริยา และคำนาม” การใช้คำว่าคาวบอยเป็นกริยา อยู่ในบทความของเขาตอนหนึ่งว่า “For many years, I cowboyed on large cattle ranches in the state of Montana, in the western Unites States.” แปลว่า “หลายปีทีเดียว ที่ผมคาวบอยอยู่ตามปศุสัตว์เลี้ยงวัวขนาดใหญ่ในรัฐมอนตานา ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา”
แดเนียนกล้าพูดเช่นนั้น เพราะว่าเขาเคยทำงานเป็นคาวบอยอยู่ในไร่ปศุสัตว์ขนาดใหญ่ในรัฐมอนตานาทางตะวันตกของอเมริกามาตั้งแต่เด็ก เขาขี่ม้าต้อนวัวเป็นพันๆ ตัว โดยมีรถม้าเสบียงไปส่งอาหารให้พวกคาวบอย ที่ตั้งแค้มป์ต้อนวัวกันอยู่กลางทุ่งหญ้าป่าเขา ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกับที่เคยทำกันมา 100 กว่าปีที่แล้ว ในหน้าหนาวเขาต้องนำหญ้าไปให้วัวโดยใช้ม้าลากเลื่อนบรรทุกหญ้า ในช่วงหน้าร้อน พวกคาวบอยต้องตั้งแคมป์คอยดูแลวัว (cow camp) กลุ่มของเขาต้องดูแลวัวถึง 1,500 ตัว ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุ่งปศุสัตว์
คาวบอยหญิงตัวจริงยุค พ.ศ. 2549-50 ดูให้ดีจะเห็นว่าใส่แว่นตาดำ
รถม้าเสบียงหรือ Chuck Wagon ที่ยังใช้อยู่ในมอนตานายุค พ.ศ. 2550
บริเวณเต๊นท์เสบียงที่คอยต้อนรับเลี้ยงดูพวกคาวบอยที่เหน็ดเหนื่อยจากการต้อนวัว
ทุ่งปศุสัตว์ที่แดเนียลเคยทำงานมีพื้นที่กว้างถึง 40,500 เอเคอร์ หรือประมาณ 101,250 ไร่ (1 เอเคอร์ ประมาณเท่ากับ 2.5 ไร่) ราคาวัวพันห้าร้อยตัวที่เขาดูแลมีมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่เงินเดือนของพวกคาวบอยแต่ละคน ได้แค่เดือนละ 500 ดอลลาร์ ราคาอานม้าดีๆ ที่ต้องซื้อเองก็ประมาณ 1,500 ดอลลาร์ รองเท้าบูตคู่หนึ่งก็ประมาณ 200 ดอลลาร์
แดเนียล มิลเลอร์ ผู้เขียน เขาเคยทำงานเป็นคาวบอยส่งเสียตัวเองล่าเรียนอยู่หลายปี ก่อนที่จะเรียนจบปริญญาโททางด้านป่าไม้ และผันอาชีพมาเป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาโครงการช่วยเหลือด้านเกษตรกรรมในหลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ภูฐาน จีน มองโกลเลีย เนปาล ขณะนี้ (พ.ศ. 2550 )เขาอยู่ในอินเดีย
เครื่องแต่งการคาวบอยตัวจริงยุคปัจจุบัน
งานของคาวบอยที่หนักมาก ซึ่งมีประมาณปีละ 1 ถึง 2 ครั้ง คืองานต้อนวัวที่ปล่อยให้หากินอย่างอิสระในทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลมารวมกัน ซึ่งเรียกว่าการ ราวด์อัพ( round up) เพื่อตีตราหรือเพื่อจับส่งขายตลาด แดเนียลเล่าว่า ในไร่ที่เขาทำอยู่ จะทำราวด์อัพในหน้าร้อน แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ (เขาทำงานในไร่ชื่อ Padlock Ranch) ซึ่งคาวบอยต้องนอนในเตนท์กลางทุ่งหญ้าตลอดระยะเวลานั้น โดยมีรถเสบียงส่งอาหารจากไร่มาส่งเป็นระยะ แต่และแค้มป์ต้องต้อนวัวประมาณ 3,000 กว่าตัว โดยมีคาวบอยประมาณ 12 คน ซึ่งพวกเขาจะต้องตีตราลูกวัวให้ได้ประมาณวันละ 100 ถึง 200 ตัว
ช่วงราวด์อัพพวกเขาอาจมีโอกาสได้พักสัก 2-3 วันเท่านั้นถ้าฝนตก ซึ่งจะถือโอกาสเข้าเมืองไปอาบน้ำและดื่มเบียร์ เวลานอกจากนั้นก็คือเวลาที่พวกคาวบอยทั้งหลายจะต้องใช้อยู่กับวัว โดยการขี่ม้าต้อนลูกวัวมา เหวี่ยงเชือกบ่วงบาศจับมันมา และต้องปล้ำ (rasslin หรือ wrestling)กับวัวเพื่อล้มมันให้นอนตีตราให้ได้ตามจำนวนที่ได้รับมอบหมายไว้จากนายจ้าง
4. ประวัติเส้นทางต้อนวัวชิสโฮล์มเทรล (The Old Chisholm Trail)
การเลี้ยงวัวและต้อนวัวไปขายเป็นระยะทางไกลๆ มากกว่าพันกิโลเมตรของคนอเมริกันแถบตะวันตก คือสิ่งที่ทำให้เกิดอาชีพคาวบอยเฟื่องฟูขึ้นในเท็กซัสช่วงปี ค.ศ. 1870-1890
ระยะแรกๆ ในช่วงปี ค.ศ. 1800 การเลี้ยงวัวในแถบรัฐเท็กซัส และใกล้เคียงทำกันแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้ลงทุนมาก แค่ปล่อยให้มันหากินตามทุ่งหญ้าด้วยตัวเอง ถึงเวลาก็ไล่ต้อนมาตีตราหรือส่งขาย ก็อยู่ได้อย่างสบายๆ แล้ว
แม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปในเท็กซัสยุคนั้น ที่ไม่ได้ทำปศุสัตว์จริงจัง แต่ละครอบครัวจะมีวัวของตนเองโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 20 ตัว ราคาวัวในพื้นที่จึงตกต่ำมาก เพราะทุกครอบครัวเลี้ยงวัวไว้รีดนมกินเป็นอาหารหลัก กล่าวกันว่าตัวละ 2 ดอลลาร์ ยังไม่มีใครซื้อเลย แต่ถ้านำไปขายทางตะวันออก ที่นิยมบริโภคเนื้อวัวมากๆ ได้ ราคาวัวแค่จุดที่ส่งขึ้นรถไฟต่อไปนิวยอร์ค หรือวอร์ชิงตัน ตกตัวละประมาณ 20 ดอลลาร์เลยทีเดียว
ยุคอาชีพคาวบอยเฟื่องฟู ที่กลายเป็นนิยายและหนังสนุกสนานมากที่สุด คือยุคที่มีการต้อนวัวระยะไกลตามเส้นทางจากเท็กซัส ผ่านชิสโฮล์มเทรลไปขึ้นรถไฟแถวตอนใต้ของรัฐแคนซัส (อ้างจาก Chisholm Trail History, Jesse Chisholm and Joseph McCoy. http://www.vlib.us/old_west/trails/cthist.html และ The Chisholm Trail by John Rossel, February, 1936 (Vol. 5, No. 1), pages 3 to 14. Transcribed by Elizabeth Lawrence; digitized with permission of the Kansas State Historical Society.)
งานต้อนวัวระยะไกลเริ่มต้นประมาณปี ค.ศ. 1867 เนื่องจากเป็นการต้อนวัวเป็นล้านๆ ตัวผ่านเส้นทางนี้ อาชีพรับจ้างขี่ม้าต้อนวัว ที่เรียกว่าคาวบอยจึงขยายจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดตำนานเล่าขานตามเส้นทางขึ้นมากมาย
หนังคาวบอยที่พยายามแสดงประวัติของการต้อนวัวจากเท็กซัสไปขายที่ชุมทางรถไฟแถวเมืองอาบีดีนในรัฐแคนซัสเป็นครั้งแรก คือเรื่อง Red River (1948) แสดงโดย John Wayne เป็นหนังที่สนุกสนานและประทับใจผู้เขียนมาก
เรามาดูการเล่าเรื่องราวชีวิตสนุกสนานของคาวบอยต้อนวัวตามเส้นทางสายนี้จากเพลง เส้นทางชิสโฮล์มสายเก่า (The Old Chisholm Trail) กันดีกว่า
เจสสี ชิสโฮล์ม บุรุษผู้บุกเบิกเส้นทางตะวันตก
เส้นทางชิสโฮล์มสายเก่า (The Old Chisholm Trail) คือเส้นทางต้อนวัวที่ใช้กันมากที่สุดในยุคคาวบอยเฟื่องฟู เป็นชื่อที่เรียกตามเส้นทางขายสินค้าของพ่อค้านักบุกเบิกลูกครึ่ง สก๊อต-อินเดียนแดงเผ่าเชโรกี ชื่อ เจสซี่ ชิสโฮล์ม (Jesse Chisholm)
|
เจสซี่· ชิสโฮล์ม (Jesse Chisholm) |
เริ่มจากปี 1864 เจสซีใช้เกวียนขนสินค้าตามเส้นทางของทหารม้าเก่าจากจุดบรรจบกันของแม่น้ำ Little Arkansas และ Big Arkansas ตอนใต้เมืองวิชิตา(Wichita) มุ่งใต้ไปถึงคลังสินค้าของเขาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโอกลาโฮมา( Oklahoma) เพื่อขายให้พวกทหารตามป้อมค่ายและพวกอินเดียนแดง ช่วงนี้ยังไม่มีการต้อนวัวผ่านทางนี้เป็นเส้นทางหลัก แต่สภาพในเท็กซัสขณะนั้น มีวัวมากเกินต้องการเพราะเลี้ยงง่าย ราคาจึงถูกแค่ตัวละ 2-3 ดอลลาร์ ในขณะที่ทางเหนือบริโภคเนื้อวัวมาก ราคาวัวสูงกว่าเท็กซัสเกิน 10 เท่า ปัญหาก็คือ จะนำวัวเท็กซัสไปขายทางเหนือมากๆ ได้อย่างไร
และนี่คือความท้าทาย ที่มีพ่อค้าวัวจำนวนมาก เดินทางมากว้านซื้อวัวจากเท็กซัส รวมทั้งพ่อค้าวัวท้องถิ่นบางคนก็เอาด้วย และจ้างคนหนุ่มจำนวนเป็นพันๆ คนเป็นโดรฟเวอร์ หรือคาวบอย ให้ต้อนวัวระยะทางไกลเป็นพันๆ ไมล์ ใช้เวลากว่า 3 เดือน เพื่อนำวัวจากเท็กซัสไปขายขึ้นรถไฟ ณ สถานีรับซื้อวัวข้างทางรถไฟ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นสะเต๊กให้คนอเมริกันในรัฐที่เจริญแล้ว
โจเซฟ จี แมคคอย ผู้สร้างเมืองคาวบอย
พ่อค้าวัวชื่อ โจเซฟ จี แม็ก คอย (Joseph G. McCoy) จากรัฐอิลลินอยส์ มองเห็นโอกาสทำกำไรจากธุรกิจขายวัวจากเท็กซัสให้รัฐทางเหนือ และสร้าง เมืองวัว(Cow Town) หรือเมืองคาวบอย ขึ้น คือหาที่ใกล้ๆ ทางรถไฟ สร้างคอกพักวัวและห้องพักคาวบอยที่มารอนำวัวขึ้นรถไฟ รวมทั้งสถานบริการบันเทิงต่างๆ เพื่อดูดเงินจากคาวบอยที่ขี่ม้าดมตูดวัว ผ่านเส้นทางที่ยากลำบากมาหลายเดือน และมารับเงินค่าจ้างที่ปลายทาง เขาจึงวางแผนสร้างจุดขนส่งวัวด้วยเส้นทางรถไฟสาย Union Pacific ไปยังรัฐอื่นๆ ขึ้นที่ไหนสักแห่ง ที่ใกล้ทางรถไฟกว่าวิชิตา ซึ่งเป็นปลายทางต้อนวัวในระยะนั้น
โจเซฟ แมคคอย พ่อค้าวัวระดับราชาผู้บุกเบิกสร้างคอกวัวให้เช่า จนกลายเป็นเมืองวัว(Cow Town) ในวัยต่างกัน
รูปกลางเขานั่งอยู่ คนยืนคือน้องชาย
แม็กคอยซื้อที่ดินแถวเมือง อาบิลีน(Abilene) รัฐแคนซัส จำนวน 480 เอเคอร์ ด้วยราคาเอเคอร์ละแค่ 5 ดอลลาร์ และสร้างคอกวัวสำหรับเช่าใช้ชั่วคราวขึ้น ทางเหนือของเมืองวิชิต้า คอกนี้จุวัวได้กว่า 3 พันตัว จากนั้นเขาขยายเส้นทางต้อนวัวจากวิชิต้ามาถึงเมืองนี้ โดยใช้เงินจ้างคนไปโฆษณาและแจกใบปลิวชักชวนเจ้าของคอกปศุสัตว์ทั่วเท็กซัส ให้นำวัวไปส่งขายให้พ่อค้าคนกลางที่อาบิลีน รวมทั้งโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ชักชวนพ่อค้าที่ต้องการซื้อวัวจากรัฐอื่นๆ ให้ไปพบผู้ขายที่จุดนัดพบนี้ (http://www.kancoll.org/khq/1936/36_1_rossel.htm) นับว่าเขามีหัวการตลาดก้าวหน้าอย่างมากในยุคนั้น
ผลก็คือ หลังจากปี 1867 มีคอกปศุสัตว์และพ่อค้าวัวมากมาย จ้างคาวบอยให้ต้อนวัวจำนวนมหาศาลจากเท็กซัสผ่านเส้นทางชิสโฮล์มไปส่งขายที่อาบิลีน ในระยะ 5 ปีแรก ประมาณว่ามีวัวผ่านเส้นทางนี้ถึง 3 ล้านกว่าตัว และมีคาวบอยรับจ้างต้อนวัววันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน (http://www.vlib.us/old_west/trails/cthist.html)
บริเวณต้อนวัวขึ้นรถไฟที่อาบีลีน อาคารในรูปขวามือคือบ้านพักให้พวกคาวบอยมาเช่านอน สร้างโดย โจเซฟ แมคคอยในปี 1867
รูปวาดจุดต้อนวัวขึ้นรถไฟในอาบีลีนช่วงเฟื่องฟู และการต้อนวัว ลองฮอน หรือเขายาวจากเท็กซัสขึ้นรถไฟที่นี่
ในปี 1868 มีวัวประมาณ 75,000 ตัวถูกส่งมาขึ้นรถไฟที่อาบีลีน และจำนวนเพิ่มชึ้นเป็น 600,000 กว่าตัวในปี 1871 ทำให้ธุรกิจและกระแสเงินในอาบีลีนเฟื่องฟูสุดขีด แมคคอยอยู่ที่เมืองนี้และได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองจนถึงปี 1873
เป็นที่น่าเสียดายที่เมืองอาบีลีนเป็นเมืองคาวบอยได้ไม่นาน ก็เกิดกรณีพิพาทระหว่างพวกคาวบอยที่มาดื่มกินพักอยู่ที่นี่ตอนต้อนวัวมาถึงคอก พวกเขาต้อนวัวจำนวนมากเกินไป ทำให้เหยี่ยบย่ำไร่นาของพวกชาวไร่ และชอบก่อเหตุยิงปืนลั่นเมือง มีบ่อนพนันเกิดขึ้นทั่วเมือง พวกคาวบอยมีเรื่องชกต่อย ยิงกันตายบ่อยๆ ในที่สุดคณะกรรมการเมืองก็ได้สั่งให้ยกเลิกธุรกิจคอกวัวในเมืองนี้ ปิดฉากเมืองคาวบอยที่อาบีลีนไปตลอดกาล โดยมีเมืองอื่นเป็นคู่แข่งขึ้นมาอีก 2-3 เมือง
เพลง The Old Chisholm Trail เป็นเพลงคาวบอยเก่าแก่ประเภทสนุกสนาน เล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคาวบอยที่รับจ้างต้อนวัวผ่านเส้นทางชิสโฮล์ม เนื้อเพลงเก่ามาก ร้องสืบต่อกันมา มีการดัดแปลงเนื้อความบางตอนตามใจชอบ จนไม่สามารถระบุชื่อคนแต่งและเนื้อเพลงต้นฉบับจริงได้ คอร์ดกีต้าร์และเนื้อเพลงในที่นี้ ได้มาจาก http://www.roughstock.com/ ซึ่งโพสต์โดย Andrew D. Lowry" < อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน > จากมหาวิทยาลัยอินเดียนา ซึ่งเป็นเนื้อเพลงที่สั้นและใช้ศัพท์สะแลงของพวกคาวบอยไม่มากนักจึงน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าของคนอื่น
ความยากลำบากในการควบคุมวัวให้เดินตามเส้นทางที่ยาวไกลนี้ คงเป็นเรื่องที่พวกคาวบอยจำนวนไม่น้อยเข็ดขยาดกันมาก จึงถ่ายทอดออกมาเป็นเพลง The Old Chisholm Trail ดังนี้
"The old Chisholm Trail"
Lope the song along-
F
1.Well, come along, boys, and listen to my tale;
I’ll tell you of my troubles on the old Chisholm Trail.
ล้อมวงเข้ามาเถิดท่านทั้งหลาย มาฟังนิทานของผม
จะเล่าความลำบากที่พบบนเส้นทางชิสโฮล์มอันเก่าแก่ให้ท่านฟัง
CHORUS-
Bb6 Bb6/C F
Come a ti yi yippy, yippy yay, yippy yay,
คัม อะ ไท ไย ยิบปี้ ยิปปีเย ยิปปี้เย้
Bb6 Bb6/C F Bb F
Come a ti yi yippy, yippy yay.
คัมอะไทไยยิบปี้ ยิปปี้เย
2.With a ten-dollar horse and a forty-dollar saddle,
ด้วยม้าราคา 10 ดอลลาร์ และอานม้าราคาสี่สิบ
I was ridin', and a punchin' Texas cattle.
ผมขี่ม้าต้อนวัวจากเท็กซัส
(chorus)
3. I'm up in the morning before daylight;
ผมตื่นก่อนตะวันในตอนเช้า
Before I sleep the moon shines bright.
ก่อนเข้านอนแสงจันทร์ก็สว่างจ้า
4. Oh, it's bacon and beans most every day;
อาหารมีแต่เบคอนกับถั่วทุกวัน
We'll soon be eating this prairie hay.
ไม่นานผมคงต้องกินหญ้าแห้งในทุ่งแห่งนี้
5. With my seat in the saddle and my hand on the horn,
ด้วยที่นั่งบนอานม้า และมือจับอยู่ที่เขาวัว
I'm the best cowpuncher that ever was born.
ผมคือคาวบอยต้อนวัวที่เก่งที่สุดที่เคยเกิดมา
6. No chaps, no slicker, and it's pourin' down rain;
I swear I'll never night-herd again.
ไม่มีแชป(กางเกงหนังหุ้มขา)ไม่มีเสื้อคลุมกันฝน และฝนตกยังกะฟ้ารั่ว
ผมสาบานว่าจะไม่อยู่ยามเฝ้าวัวตอนกลางคืนอีกแล้ว
7. A stray in the herd and the boss said, "Kill it!"
มีวัวดื้อแตกฝูงอยู่ตัวหนึ่ง และเจ้านายบอกว่า ฆ่ามัน
So I shot it in the rump with the handle of a skillet
ผมจึงฟาดมันเข้าที่สะโพกด้วยด้ามกะทะ
8. I went to the boss to draw my roll,
เมื่อผมไปรับเเงินค่าจ้างจากเจ้านาย
And he had me figured out nine dollars in the hole.
เขาให้ผมต้องจ่าย 9 ดอลลาร์ค่าที่ทำให้หนังเจ้าวัวตัวนั้นเป็นรู
9. Me and my boss we had a little spat,
ผมกับเจ้านายเลยทะเลาะกันนิดหน่อย
So I hit him in the face with my ten-gallon hat.
ผมจึงใช้หมวกฟาดหน้าเข้าให้
10. I'm going to sell my horse, going to sell my saddle,
'Cause I'm tired of punching these Longhorn cattle.
ผมจะขายม้าและขายอาน เพราะเบื่อที่จะต้อนวัวเขายาวพวกนี้
11. With my knees in the saddle and seat in the sky,
I'll quit punchin' cows in the sweet by-and-by.
ด้วยเข่าอยู่ในอานม้า และที่นั่งอยู่บนฟ้า ผมจะเลิกต้อนวัวได้ก็เมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ (sweet by-and-by เป็นสำนวนหมายถึงสวรรค์ )
Time line of American Old West ตารางเวลาของการบุกเบิกตะวันตก หรือยุค Old west จนทำให้เกิดคาวบอยขึ้นมา ดูได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Timeline_of_the_American_Old_West ซึ่งเขารวบรวมไว้ดังนี้
Early exploration and development
Initial interest in the vast unexplored territory came through the fur trade, with trappers and hunters moving ahead of settlers.[1]:150 The early years were largely a period of scientific exploration and survey, such that by 1830 the rough outline of the entire West had been mapped to the Pacific Ocean.[1]:162
Year | Date | Event |
---|---|---|
1800 | Mar 4 | Thomas Jefferson takes office as the third President of the United States. |
Oct 1 | Under pressure from Napoléon Bonaparte, the Kingdom of Spain transfers its colony of Luisiana back to the French Republic with the secret Third Treaty of San Ildefonso. | |
1803 | Apr 1 | The United States and the French Republic sign the Louisiana Purchase Treaty. |
Dec 20 | France turns its colony of La Louisiane over to the United States. | |
1804 | Aug 31 | Start of the Lewis and Clark expedition to explore and chart the regions west of the Mississippi River.[2] |
1806 | Jul 15 | A U.S. Army reconnaissance expedition under the command of Captain Zebulon Pike departs Fort Bellefontaine near Saint Louis in the Louisiana Territory. |
1807 | Feb 26 | Spanish cavalrymen arrest the Pike expedition in the Spanish territory of Santa Fe de Nuevo México (now southern Colorado). |
1810 | Aug 1 | Mexican priest Miguel Gregorio Antonio Ignacio Hidalgo y Costilla y Gallaga Mandarte Villaseñor proclaims the independence of Mexico from the Kingdom of Spain. |
1819 | Feb 22 | The United States and Spain sign the Adams–Onís Treaty. |
1821 | Feb 22 | The Adams–Onís Treaty takes effect defining the new border between the territory of Spain and the United States. |
Aug 24 | The Kingdom of Spain finally recognizes the independence of Mexico with the signing of the Treaty of Córdoba. | |
Sep 1 | William Bucknell and a party of frontier traders leave New Franklin, Missouri bound for Santa Fe. The Bucknell route will become the Santa Fe Trail. |
1830s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1831 | Mexico ratifies the Adams–Onís Treaty with the United States. | |
1832 | Bonneville Expedition. | |
1833 | spring | Frontier trader William Bent establishes Bent's Fort on the north bank of the Arkansas River on the Santa Fe Trail. |
1835 | spring | Frontier traders Louis Vasquez and Andrew Sublette establish Fort Vasquez on the South Platte River. |
Oct 2 | The Texian Revolt begins with the Battle of Gonzales. | |
1836 | May 2 | Texians (immigrants from the United States in the Mexican state of Coahuila y Tejas) declare the independence of the Republic of Texas from Mexico. |
May 14 | Texians force captured General Antonio de Padua María Severino López de Santa Anna y Pérez de Lebrón to sign the Treaties of Velasco recognizing the independence of the Republic of Texas. Mexico never ratifies these treaties. |
1840s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1845 | Jun 1 | John C. Frémont's 3rd expedition with 55 men & Kit Carson as guide left St. Louis to "map the source of the Arkansas River" but continued to the Sacramento Valley |
Dec 19 | The "Lash Law" banned Blacks from living in the Oregon Territory | |
Dec 29 | The United States admits the Republic of Texas to the Union as the slave State of Texas. The boundaries of the state remain undefined. | |
1846 | Apr 25 | The first skirmish of the Mexican–American War. |
May 13 | The United States declares war on Mexico. | |
Aug 18 | Troops under the command of Brigadier General Stephen W. Kearny seize the territorial capital of Santa Fe for the United States with little resistance. | |
Dec 27 | An army of volunteers led by Colonel Alexander W. Doniphan wins a major battle in the Mexican-American War by occupying El Paso[3] | |
1847 | Jan 19 | Governor Charles Bent is assassinated and scalped during the Taos Revolt[4] |
Jul 24 | Brigham Young and his vanguard company of Mormons first arrive in the Salt Lake Valley. | |
1848 | Jan 24 | James W. Marshall discovers gold at Sutter's Mill near Coloma, California, precipitating the California Gold Rush.[5] |
1850s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1850 | Jan 29 | Responding to questions of how to accommodate slavery in a growing nation, Henry Clay proposes a series of measures to preserve the Union that come be called the Compromise of 1850 |
Feb | Pinkerton Detective Agency founded[6] | |
Apr 4 | City of Los Angeles incorporated | |
Apr 15 | City of San Francisco incorporated | |
Jun 3 | Five Cayuse tribesmen hanged in Oregon City for Whitman massacre[7] | |
Sep 9 | California is admitted as the 31st U.S. state | |
Sep 9 | New Mexico Territory is organized by order of the U.S. Congress | |
Sep 9 | Utah Territory is organized by order of the U.S. Congress | |
Sep 27 | Donation Land Claim Act to promote homestead settlement in the Oregon Territory | |
Sep 29 | Millard Fillmore appoints Brigham Young first governor of Utah Territory | |
1851 | Horace Greeley popularizes the saying "Go West, young man", though the phrase was originally written by Indiana newspaper writer John Soule in the Terre Haute Express in 1851 | |
Western Union founded as The New York and Mississippi Valley Printing Telegraph Company | ||
Jan 23 | The flip of a coin determines whether a new city in Oregon is named after Boston, Massachusetts, or Portland, Maine, with Portland winning | |
Mar 27 | Mariposa Battalion, led by James D. Savage are first reported non-natives to enter Yosemite Valley | |
Sep 17 | Treaty of Fort Laramie (1851) signed with Sioux Indians | |
Nov 13 | The Denny Party lands at Alki Point, the first settlers of what will become Seattle, Washington | |
1852 | Mar 18 | Wells Fargo company founded to provide express and banking services to California |
Mar 20 | Uncle Tom's Cabin by Harriett Beecher Stowe published | |
May 1 | Birth of Calamity Jane, frontierswoman (d. 1903) | |
Jun 29 | Death of Henry Clay, US statesman and senator, key figure in Compromise of 1850 | |
Jul 19 | Birth of Commodore Perry Owens, lawman and gunfighter (d. 1919) | |
Nov 2 | Franklin Pierce elected president | |
1853 | Omaha City was founded in the Nebraska Territory. | |
1853 | Feb 8 | Washington Territory organized from portion of Oregon Territory |
1853 | Mar | Levi Strauss arrives in San Francisco and opens store supplying goods and clothing to Gold Rush miners |
1853 | May 26 | Birth of John Wesley Hardin, outlaw (d. 1895) |
1853 | Oct 26 | Paiute Indians attack U.S. Army Captain John W. Gunnison and his party of 37 soldiers and railroad surveyors near Sevier Lake, Utah. |
1853 | Nov 24 | Birth of Bat Masterson, gunfighter, lawman, journalist (d. 1921) |
1853 | Nov 28 | Olympia, Washington designated capital of Washington Territory |
1853 | Dec 30 | U.S. and Mexico agree to Gadsden Purchase giving U.S portions of Arizona and New Mexico |
1854 | Birth of Luke Short, gunfighter (d. 1893) | |
1854 | Death of Chief Conquering Bear, Lakota Sioux | |
1854 | Feb 13 | Mexican troops force would be conqueror William Walker and his mercenary troops to retreat to Sonora |
1854 | Feb 14 | Texas is linked by telegraph with the rest of the United States, when a connection between New Orleans and Marshall, Texas is completed |
1854 | May 24 | Birth of John Riley Banister, law officer, cowboy, and Texas Ranger (d. 1918) |
1854 | May 30 | Kansas-Nebraska Act becomes law, rescinding the Missouri Compromise of 1820 and creating Kansas Territory and Nebraska Territory. Provision that settlers will vote on slavery in the new territories leads to Bleeding Kansas violence beginning the next year |
1854 | Jun | The Grand Excursion takes prominent Eastern United States inhabitants from Chicago, Illinois to Rock Island, Illinois by railroad, then up the Mississippi River to St. Paul, Minnesota by steamboat |
1854 | Jun 14 | Birth of Dave Rudabaugh (Dirty Dave), outlaw (d. 1886) |
1854 | Jul 6 | First statewide meeting of the Republican Party, formed in response to the Kansas-Nebraska Act, is held in Jackson, Michigan |
1855 | Jan 21 | John Browning is born in Ogden, Utah |
1858 | May 11 | Minnesota admitted as the 32nd U.S. state |
1859 | Feb 14 | Oregon admitted as the 33rd U.S. state |
1859 | Nov 23 | Accepted by many historians to be Billy the Kid's date of birth. It is also widely believed that he was born in New York City |
1860s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1860 | Apr 14 | The Pony Express arrived in Sacramento, California |
1860 | Nov 21 | Tom Horn is born in Memphis, Missouri |
1861 | January 29 | Kansas is admitted to the union as the 34th State. It's citizens vote it as a slave free state. |
1861 | February 28 | Colorado is organized as a territory |
1861 | March | Citizens of the New Mexico Territory secede and join the Confederate States of America |
1861 | March 2 | Nevada is incorporated as U.S. Territory |
1861 | March 2 | North Dakota is incorporated as a territory |
1861 | July 25 | 250 Confederate troops with the 2nd Texas Mounted Rifles, led by Lieutenant Colonel John R. Baylor, engage Union forces under Major Isaac Lynde at Mesilla, New Mexico, resulting in Lynde's troops retreating into the Organ Mountains, toward Fort Stanton. Lynde was relieved of duty after abandoning his post. |
1862 | February-April | Confederate forces under Henry Hopkins Sibley and Thomas Green undertook what is widely regarded as one of the most ambitious military operations of the American Civil War, when they attempted to take over the Southwest. Their goals included seizing the Colorado gold fields and invading the Mexican states of Sonora, Chihuahua, and Lower California |
1862 | February 20-21 | The Battle of Valverde |
1862 | March 26-28 | The Battle of Glorieta Pass is fought in the Sangre de Cristo Mountains between Confederate cavalry forces and Union volunteers from Colorado and New Mexico |
1862 | March 30 | The Battle of Stanwix Station is fought at a Butterfield Overland Mail Stagecoach stop 80 miles east of Yuma, Arizona, between Cpt. William P. Calloway of the California Column and Confederate 2nd Lt. John Swilling |
1862 | April 15 | The Battle of Picacho Pass is fought between Union cavalry troopers with the 1st California Cavalry under Lt. James Barrett and a detachment of Arizona Confederates led by Sgt. Henry Holmes. It is the westernmost battle of the American Civil War, occurring 50 northwest of Tucson |
1862 | May 5 | Confederate Sgt. Sam Ford and his men are ambushed by Apache warriors in the Dragoon Mountains near the present day towns of Benson and Dragoon, Arizona at the Battle of Dragoon Springs |
1862 | May 9 | The Second Battle of Dragoon Springs is fought in retaliation for the deaths of the four Confederates killed at the Apache ambush four days earlier. Rebels under Capt. Sherod Hunter take back the cattle stolen by Cochise and his warriors and kill 5 Apaches |
1862 | July 15-16 | 140 Union troops from the California Column are ambushed by about 500 Apaches under Mangas Coloradas and Cochise at the Battle of Apache Pass in Arizona. This was one of the first battles in which the United States Army was able to use artillery against Indians. |
1862 | August 17 | The Dakota War of 1862 begins when a Sioux hunting party slaughters five white settlers, and the tribal council decides to attack white settlements throughout the Minnesota River valley |
1862 | November 5 | More than 300 Santee Sioux in Minnesota are sentenced to hang for the rape and murder of Anglo settlers |
1863 | January 1 | Daniel Freeman submits the first claim under the Homestead Act for land near Beatrice, Nebraska |
1863 | January 29 | Col. Patrick Edward Connor leads his troops to fight the Shoshone Indians in present-day Idaho, resulting in the Bear River Massacre |
1863 | February 24 | Arizona organized as a territory |
1863 | March 3 | Idaho organized as a territory |
1863 | August 21 | Confederate guerilla fighters led by Capt. William Quantrill attack the pro-Union town of Lawrence, Kansas, resulting in the Lawrence Massacre. Quantrill claimed his motivation was revenge for the Union Sacking of Osceola |
1864 | January | Col. Kit Carson accepts the surrender of most of the Navajo nation during the last two years of the bloody Navajo Wars. |
1864 | - | John Bozeman leads a group of about 2,000 settlers across the Bozeman Trail, which he and John Jacobs had scouted the previous year. |
1864 | May 26 | Montana organized as a territory |
1864 | July | Confederate-sympathizing outlaw Jim Reynolds and his gang plundered and robbed settlements in the South Park Basin, claiming their mission was to loot the gold mines of the region to support the fledgling Confederacy. |
1864 | Oct 31 | The U.S. Congress admits Nevada as the 36th state |
1864 | Nov 29 | Colonel John Chivington and his volunteer militia massacre a Cheyenne village near Sand Creek in the Colorado territory |
1865 | May 12-13 | The Battle of Palmito Ranch is fought in Texas, the last armed engagement of the American Civil War |
1866 | December 21 | Capt. William J. Fetterman, are 2nd Cavalry and the 18th Infantry Regiment were ambushed and wiped out near Fort Phil Kearny, Wyoming. A fort built the next year, Fort Fetterman, was named in his honor. |
1866 | February 13 | Notorious outlaws Frank and Jesse James rob their first bank in Liberty, Missouri |
1868 | Nov 27 | Battle of Washita River. |
1869 | May 19 | Wyoming organized as a territory |
1870s

Year | Date | Event |
---|---|---|
1870 | Bret Harte's The Luck of Roaring Camp and Other Sketches, a collection of stories based on his years as a San Francisco journalist, is published.[8] | |
1870 | William "Hurricane Bill" Martin, a notorious Kansas outlaw, begins rustling cattle southeast of Abilene before he and his gang are driven off by a posse from Marion.[9] | |
1870 | Settling in the New Mexico Territory, gunfighter Robert Clay Allison purchases a ranch in Colfax County. During this time, Allison is reported to have killed as many as fifteen men in gunfights according to local newspapers.[10] | |
1870 | With the growing railroad industry and cattle boom, buffalo hunters begin moving onto the Great Plains. In less than ten years, the buffalo population are vastly reduced in numbers and remain an endangered species for much of the next century.[8] | |
1870 | The Utah territorial legislature, supported by Brigham Young, grants women the right to vote. Over the next several decades, this provides the Mormons with an added margin of political power.[8] | |
1870 | African laborers are brought in by the Union Pacific in Wyoming and are paid $32.50 a month as opposed to $52.00 a month for American-born railroad workers. Hiring cheap foreign labor will become a common practice for the railroad and other companies during the late 19th century. In time, this will create resentment from American laborers throughout the western United States in the belief that Chinese immigrants are competing unfairly for jobs and will eventually lead to racial violence and labor unrest in years to come.[8] | |
1870 | Jan | Shortly after leaving office as Sheriff of Ellis County, Kansas, James "Wild Bill" Hickok travels to Missouri to visit friends and eventually he resumes his duties as a U.S. Marshal.[11] |
1870 | Spring | With the emergence of Abilene as a major stopover for cattle ranchers, the town trustees unsuccessfully attempt to curb the violence brought by the beginning of the cattle season by passing a gun ordinance ban. This proves unenforceable as Texas cowboys made a habit of shooting up ordinance posters and tore town the city's first jailhouse. Although a posse was organized by local residents which successfully captures several of these cowboys, violence continues in the city until the appointment of "Bear River" Tom Smith as city marshal on Jun 4.[12] |
1870 | Jul 17-18 | James Hickok is involved in a shootout with several members of the 7th Cavalry Regiment in Hays City after killing one trooper and wounding another.[11] |
1870 | Jul 17 | Death of Jeremiah Lonergan, US 7th cavalry trooper[11] |
1870 | Jul 18 | Death of John Kile, US 7th cavalry trooper[11] |
1870 | Nov | Death of Thomas J. Smith, Abilene town marshal[11] |
1871 | John K. "King" Fisher is hired by settlers of the Pendencia River country, Dimmit County, as a hired gun to protect their livestock and other property. It is during this time that Fisher became known as a skilled gunfighter.[13] | |
1871 | Jan 1 | After a long illness, Captain John Barry is forced into retirement. While stationed at Fort Ord, Barry attempted to improve relations between the United States and the Apaches as well as encouraging the enlistment of scouts to combat against renegade Apaches.[13] |
1871 | Feb 16 | John Younger kills Captain S.W. Nichols in a gunfight in Dallas, Texas.[14] |
1871 | Feb 23 | While heading an Apache hunting force near present-day Clifton, Arizona, John M. Bullard is shot and killed while approaching a wounded Apache warrior.[13] |
1871 | Feb 28 | "Handsome Jack" John Ledford, a former outlaw involved in counterfeiting and horse theft in Kansas and the Indian Territory turned hotel owner, is killed in a shootout between him and a group of U.S. Army soldiers led by army scout Lee Stewart and US Marshal Jack Bridges which claimed to have a warrant for his arrest. Although he had recently come under suspicion for his involvement in the robbery of a government wagon train in which several teamsters had been killed, later newspaper accounts claimed that Ledford had been murdered by Bridges due to a previous argument in which Bridges had threatened his life.[15] |
1871 | Mar 16 | Death of Barboncito (Hastin Daagii), Navajo chieftain[13] |
1871 | Apr 15 | Wild Bill Hickok succeeds "Bear River" Tom Smith as City Marshal for Abilene, Kansas and remains in that position until Dec 13.[16] |
1871 | Apr 28 | In what becomes known as the Camp Grant Massacre, over 100 Apache women and children are killed by a mob of Mexicans and Papagos led by several Tucson businessman including D.A. Bennett and Sam Hughes. Bennett and several others are indicted in Dec, however all are acquitted.[13] |
1871 | May | Professional gambler Phil Coe and gunfighter Ben Thompson open the Bull's Head Tavern and Gambling Saloon in Abilene, Kansas. The establishment becomes widely known for its large painting of a bull whose genitals are much larger than the rest of its body. Known as the "Shame of Abilene" by local townspeople, Marshal James Butler "Wild Bill" Hickok is asked to intervene. When the owners refuse to take down the painting, Hickok takes it upon himself to repaint parts of the picture. This results in a personal dispute with Coe eventually leading to a shootout on Oct 5 in which Hickok shot both Coe and Deputy Mike Williams. Coe would die from his wounds in his death in four days later.[17] |
1871 | Jun 14 | Thomas Carson, reportedly a nephew of mountain man Kit Carson, is appointed to the Abilene police force under City Marshal "Wild Bill" Hickok. After an incident with gunfighter John Wesley Hardin over Hardin's insistence of wearing his gun in public, he was briefly hired as Deputy in Newton, Kansas before returning to Abilene in Nov. Along with Deputy John W. "Brocky Jack" Norton, the two were fired from the police force on Nov 27 after assaulting a local bartender. |
1871 | Jun 30 | Shortly after robbing a nearby bank, Jesse James addresses a crowd at a political rally in Corydon, Iowa[14] |
1871 | Oct 5 | Death of Mike Williams, Abilene deputy sheriff |
1871 | Oct 9 | Death of Phil Coe, professional gambler |
1871 | Dec 5 | Future rodeo star Bill Pickett is born near Austin, Texas. |
1872 | William F. "Buffalo Bill" Cody, as a scout for the U.S. 5th Cavalry Regiment, is awarded the Medal of Honor. Later that year, he appears on stage for the first time portraying himself in "Scouts of the Prairie". | |
1872 | Ellsworth succeeds Abilene as the northern stopping point on the Old Texas cattle trail. | |
1872 | Following the completion of the Santa Fe Railroad line across the border of the Colorado Territory, the use of the Santa Fe Trail begins to decline although Dodge City would remain a major cattle shipping town for the next decade. The Santa Fe Railroad would also complete a rail line at Wichita, Kansas causing a major population boom over the next several years. | |
1872 | "Home on the Range", later adopted as the state song of Kansas, first appears in a poem "My Western Home" written by Dr. Brewster M. Higley. Following its publication, is it set to music by Daniel Kelley | |
1872 | Jan 31 | Author Zane Grey is born in Zanesville, Ohio. |
1872 | Mar 1 | Yellowstone National Park is designated America's first national park by President Ulysses S. Grant |
1873 | Inventor Henry Rose first introduces barbed wire at a county fair in De Kalb, Illinois. | |
1874 | Ham Anderson, a cousin of gunfighter Wes Hardin, is killed in a gunfight in Dodge City, Kansas | |
1874 | Outlaws Ceberiano and Reymundo Aguilar are killed during the Harrold War of Lincoln County, New Mexico | |
1874 | May 25 | John Alexander, an outlaw and horse thief, is shot and killed by a mob in Belton, Texas while attempting to steal horses |
1874 | Jun 27 | While occupying an old trading post, 28 hunters including a 21-year-old Bat Masterson are besieged and eventually drive off 700 Commanche warriors at the Second Battle of Adobe Walls |
1875 | Aug 8 | Jermin Aguirre is killed near the San Augin Ranch in the New Mexico Territory |
1876 | After being wounded in the hip during a gunfight in Sweetwater, Texas, Bat Masterson agreed to become assistant city marshal of Dodge City | |
1876 | Mar 17 | After Sioux chieftains Sitting Bull and Crazy Horse refuse to comply with the Federal government's order to leave the Black Hills of the Dakota Territory, General George Crook attacks their forces, defeating them at the Battle of Powder River beginning the Great Sioux War |
1876 | Apr 19 | Wyatt Earp is not rehired by the Wichita Police Department for beating up a candidate for county sheriff |
1876 | Jun 17 | Crook's forces are forced to withdraw following his defeat by Crazy Horse at the Battle of Rosebud |
1876 | Jun 25 | While leading an attack into a Sioux village, the U.S. 7th Cavalry Regiment under Brigadier General George Armstrong Custer is ambushed and wiped out by over 2,000 Sioux and Comanche warriors led by Sitting Bull and Crazy Horse at the Battle of Little Bighorn.[18] |
1876 | Aug 1 | Colorado admitted as the 38th U.S. state. |
1876 | Aug 2 | James "Wild Bill" Hickok is shot in the back of the head and killed by a drunk during a poker game in Deadwood, South Dakota. Hickok had supposedly been holding two pair of aces and eights at the time of his death, which has since been known to gamblers as the "dead man's hand". |
1876 | Sep 7 | Several members of the James-Younger Gang, including Cole Younger, are captured after the failed robbery of the First National Bank leads to a gunfight with bank employees and local residents in Northfield, Minnesota |
1877 | Nez Perce War in Oregon, Idaho, Wyoming and Montana. | |
1877 | Gunfights involving John Morco in Kansas. | |
1877 | Gunfights involving John Higgins in New Mexico. | |
1877 | Gunfights involving the Horrell Brothers in Texas. | |
1877 | Aug 17 | At 17 years old, Billy the Kid shoots his first man, Frank "Windy" Cahill, in self-defense, after Cahill wrestled him to the ground at a saloon in Fort Grant, Arizona. Cahill died the next day. |
1878 | Feb 18 | Rancher John Tunstall is killed by a posse, whose members included gunman Charles Wolz, beginning the Lincoln County War |
1878 | Mar | John Younger, a member of the Younger Gang, is killed by Pinkerton detectives Louis Lull and Jim Duckworth in St. Clair County, Missouri |
1878 | Jun 18 | Nick Worthington, a well known outlaw throughout New Mexico and Colorado, is killed by residents of Cimarron, New Mexico and killing several men and stealing horses |
1878 | Jul 15-19 | The 5-day Battle of Lincoln occurred in Lincoln, New Mexico |
1878 | Jul 19 | Alexander McSween, a major character in the Lincoln County War and former partner of John Tunstall, is shot and killed during the Battle of Lincoln |
1878 | Jul 19 | McSween gunman Francisco Zamora is killed in a gunbattle during the Lincoln County War |
1879 | Captain Marcus Reno, the highest-ranking officer to have survived the Battle of Little Big Horn, is brought before a general court-martial but is acquitted of cowardice | |
1879 | Ike and Bill Clanton enlist William "Curley Bill" Brocius and Johnny Ringo as the Clanton's begin cattle rustling in the New Mexico and southern Arizona Territories | |
1879 | Nov 4 | Will Rogers is born on a ranch in Cherokee Indian territory in what is now Oklahoma |
1880s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1880 | George Alford is sentenced to five years imprisonment for murdering a sheriff in Fort Worth, Texas | |
1880 | Mar 2 | James Allen kills James Moorehead after ordering eggs in a tavern in Las Vegas, New Mexico and, after escaping from prison for Mooreland's murder, is killed by a posse soon after |
1880 | Dec 19 | Tom O'Folliard, best friend of Billy the Kid, is shot and killed by members of Pat Garrett's posse in Fort Sumner, New Mexico |
1880 | Dec 23 | Charlie Bowdre, a member of Billy the Kid's gang, is shot and killed by members of Pat Garrett's posse at Stinking Springs, New Mexico |
1880 | Dec 24 | Abran Baca kills A.M. Conklin in Socorro, New Mexico with several other outlaws, for which he is acquitted of the following year. |
1881 | Jul 14 | Billy the Kid is shot and killed by Sheriff Pat Garrett in Fort Sumner, New Mexico. He was buried the next day between his friends Tom O'Folliard and Charlie Bowdre in Fort Sumner's old military cemetery |
1881 | Oct 26 | Arguably the West's most famous gunfight, the Gunfight at the O.K. Corral, took place in Tombstone, Arizona, pitting the Earps and Doc Holliday against the Clantons, the McLaurys, and Billy Claiborne. After the smoke cleared, Frank and Tom McLaury and Billy Clanton were dead. Virgil and Morgan Earp, along with Holliday, were wounded. |
1882 | Mar 18 | Morgan Earp, brother of famous lawman Wyatt Earp, is shot and killed while playing a game of pool in Tombstone, Arizona. His assassination was very possibly due to his involvement in the Gunfight at the O.K. Corral. |
1882 | Mar 24 | Outlaw William "Curley Bill" Brocius is shot and killed by Wyatt Earp at Iron Springs in Arizona. |
1882 | Apr 3 | Jesse James murdered by Bob Ford[19] |
1886 | Jack Langrishe, a popular western entertainer, is elected justice in Coeur d’Alene, Idaho | |
1886 | Feb 18 | Dave Rudabaugh, a former member of Billy the Kid's Dodge City Gang, is reportedly captured and decapitated by townspeople after terrorizing the village of Parral, Mexico |
1886 | Mar 21 | 'The Big Fight' in Tascosa, Texas, where three ranch hands, ex-members of Pat Garrett's 'Home Rangers', are killed by rival ranch hands and assorted gunmen.[20] |
1886 | Jul 16 | Death of Ned Buntline, writer |
1886 | Aug 7 | Fort Fred Steele, used to protect railroads from local Native American tribes in the Wyoming Territory, is closed |
1886 | Aug 20 | Fort Duchesne is officially opened by Major Frederick William Benteen in the Utah Territory |
1886 | Sep 4 | Apache renegade Geronimo surrenders to forces under General Nelson Miles and taken into custody at Fort Grant[21] |
1886 | Dec 1 | Brothers Jim and Rube Burrow rob their first train in Bellevue, Texas |
1886 | Nov 8 | Doc Holliday dies from tuberculosis in Glenwood Springs, Colorado[22] |
1887 | Feb 8 | Luke Short kills former Fort Worth Marshal Jim Courtright in a gunfight on the streets of Fort Worth, Texas. The shooting was ruled self-defense, since Courtright drew his pistol first. |
1888 | Dec 18 | Richard Wetherill and his brother-in-law discover the Indian ruins of Mesa Verde in southwestern Colorado |
1889 | Feb 3 | Belle Starr is murdered in Oklahoma[23] |
1889 | Nov 2 | North Dakota and South Dakota are admitted as the 39th and 40th U.S. states |
1889 | Nov 8 | Montana admitted as the 41st U.S. state |
1889 | Nov 11 | Washington admitted as the 42nd U.S. state |
1890s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1890 | Jul 3 | Idaho is admitted to the Union as the 43rd State. |
1890 | Jul 10 | Wyoming is admitted to the Union as the 44th State. |
1890 | Dec 29 | The U.S. Cavalry kills 146 Sioux at Wounded Knee on the Pine Ridge reservation in South Dakota |
1893 | Sep 8 | Luke Short dies of dropsy in Geuda Springs, Kansas |
1896 | Jan 4 | Utah is admitted to the Union as the 45th State. |
1900s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1903 | Nov 20 | Tom Horn, a legendary Old West figure who had previously served as a U.S. Cavalry Scout, Pinkerton detective, lawman and outlaw is hung in Cheyenne, Wyoming for the disputed July 18th, 1901 killing of 14-year old sheepherder Willie Nickell. |
1905 | Dec 30 | Former Idaho Governor Frank Steunenberg is wounded by a bomb in his home in Caldwell, Idaho and dies a short time later. |
1907 | Nov 16 | Oklahoma is admitted to the Union as the 46th State. |
1908 | Feb 29 | Death of Pat Garrett, former New Mexico sheriff and killer of Billy the Kid |
1909 | Apr 19 | Joseph Allen is hanged in Ada, Oklahoma for his involvement in a local feud |
Nov 16 | Oklahoma admitted as the 46th U.S. state | |
Nov 24 | Outlaw Donaciano Aguilar is captured and sentenced to life imprisonment in New Mexico |
1910s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1912 | Jan 6 | New Mexico is admitted to the Union as the 47th State. |
Feb 14 | Arizona is admitted to the Union as the 48th State. | |
1916 | Dec 5 | The last stagecoach robbery in American history occurs at Jarbidge Canyon, Nevada, in which robbers Ben Kuhl, Ed Beck and William McGraw held up the U.S. Postal Service stagecoach, shot the driver, Fred Searcy, and stole $4,000 in cash. The three criminals were captured without incident at their cabin soon after. |
1917 | Jan 10 | William F. "Buffalo Bill" Cody dies of kidney failure in Denver |
1920s
Year | Date | Event |
---|---|---|
1929 | Jan 13 | Wyatt Earp dies of chronic cystitis at his home in Los Angeles |
บทที่ 4. ตำนานดาราคาวบอย
ในบทนี้จะกล่าวถึงดาราคาวบอย ผู้เป็นตำนานและมีส่วนในการเสริมสร้างค่านิยมวัฒนธรรมตะวันตกให้คงอยู่ ยิ่งกว่าคาวบอยตัวจริงตามทุ่งกว้างดังกล่าวแล้ว
4.1. บัฟฟาโล บิลล์ ดาราคาวบอยคนแรก
บัฟฟาโล บิลล์ เป็นนักสู้ชีวิตตัวฉกาจ เริ่มต้นจากการเป็นนักล่าสัตว์ด้วยการวางกับดัก นักล่าแร่ทองคำในยุคปี 1859 ต่อมาก็รับจ้างขี่ม้าส่งจดหมายด่วนให้บริษัทโพนี่เอกซ์เพรส เป็นหัวหน้าขบวนอพยพด้วยเกวียน เป็นคนขับรถม้าโดยสาร และเป็นทหารในสงครามกลางเมือง ในปี 1867 เขาเป็นนักล่าควายป่า เพื่อนำเนื้อไปขายให้คนงานสร้างทางรถไฟสายแคนซัส-ปาซิฟิก มีรายงานว่า เฉพาะตัวเขาเอง เขาฆ่าควายป่าไปถึง 4,280 ตัวภายใน 17 เดือน และนี่คือที่มาของฉายา บัฟฟาโล บิลล์ (ควายบิลล์)
จากประสบการณ์อันมากมายนี้ ระหว่างปี 1868 -1872 เขาจึงได้รับการว่าจ้างให้เป็นคนนำทาง ให้แก่หน่วยลาดตระเวนของกองทัพบกสหรัฐ สังกัดกองทหารม้าที่ 3 ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่แถบรัฐ แคนซัส มิสซูรี เทนเนสซี ต่อสู้กับอินเดียนแดงเผ่าคิโอวา และโคมานเช่ พวกทหารยกย่องให้เขาเป็น “ตัวนำโชค” เนื่องจาก เขาสามารถพากองทหารหลีกเลี่ยงอันตรายได้เสมอ และนำการรบไปสู่ชัยชนะทุกครั้งเมื่อปะทะกัน ในปี 1872 เขาได้รับเหรียญเกียรติยศขั้นสูงสำหรับทหารจากรัฐบาล
เมื่อสงครามสิ้นสุด และพวกอินเดียนแดงส่วนใหญ่ยอมแพ้ เข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน บัฟฟาโล บิลล์ ก็หมดงานลาดตระเวน เขาจึงหันมาเอาดีทางการแสดงอย่างจริงจัง และกลายเป็นผู้นำในการเรียกร้องสิทธิให้แก่พวกอินเดียนแดงและสิทธิสตรี
บัฟฟาโล บิลล์ คือฮีโร่ตัวจริง และเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจการแสดงอย่างแท้จริงอีกด้วย เขามีชื่อมาจากการช่วยทหารต่อสู้กับอินเดียนแดง และมีเรื่องเล่าว่าเคยต่อสู้กับหัวหน้าอินเดียนแดงเผ่าไชแอน ชื่อ เยลโลแฮร์ (Yellow Hair) ตัวต่อตัวได้ชัยชนะและถลกหนังหัวหัวหน้าผู้นั้นได้ เขาเป็นพลเรือนคนแรก ที่ได้รับการประดับเหรียญเกียรติยศของทหาร
) คาวบอยและอินเดียนแดงจากถิ่นตะวันตกของอเมริกา (ข้อมูลจาก http://www.thewildwest.org/interface/index.php?action=304)
การแสดงของเขาจึงได้รับความสนใจมาก ผู้คนหลั่งไหลไปดูการแสดงของเขาจากทุกทิศ ทั้งที่เวทีกลางทุ่งหญ้า และเมื่อเขาพาคาราวานออกทัวร์แสดงทั่วประเทศ แม้แต่ประธานาธิบดีในตำแหน่ง ก็เคยมาชมการแสดงของเขา
ใบปลิวโฆษณาการแสดงของบัฟฟาโล บิลล์ ไวล์ดเวสต์ จาก www.wikipedia.com
แม้จะกลายเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยโด่งดัง แต่บัฟฟาโล บิลล์ ก็ไม่เคยร้างราการกลับไปเยือนวัฒนธรรมตะวันตก เช่น พาพวกเศรษฐีไปล่าสัตว์ในบางฤดุกาล ถูกเรียกตัวเข้าประจำการเพื่อช่วยทหารแก้ปัญหาทางชายแดนกับพวกอินเดียนแดง เช่นในปี 1876 หลังจากนายพลคัสเตอร์ถูกฆ่าที่ลิตเติ้ลบิกฮอร์น(Little Bighorn) เขาถูกเรียกเข้าไปประจำการและเป็นที่มาของการต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าไชแอนชื่อ เยลโล่แฮร์ ดังกล่าวแล้ว
สงครามกับพวกอินเดียนแดงไม่ได้สงบลงง่ายๆ ในปี 1890 ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ในชีวิตจริงของ บัฟฟาโล บิลล์ ก็ได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีปัญหาการลุกฮือของพวกอินเดียนแดง เนื่องจากหมอผีคนหนึ่งปลุกความเชื่อเรื่อง “Ghost Dance(แปลตามสำนวนไทยๆ น่าจะเรียกว่า ฟ้อนผี ตามความเชื่อของชาวเหนือและอิสาน)” หรือบางทีพวกคนขาวก็เรียกเพี้ยนไปเป็น “Sun Dance (เต้นรำพระอาทิตย์)” ซึ่งเชื่อว่าพลังจากการเต้นและการใส่เสื้อผ้าชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาจะป้องกันกระสุนได้ การเต้นรำเช่นนี้ระบาดไปตามค่ายกักกันพวกอินเดียนแดงทุกแห่ง พวกอินเดียนแดงฮึกเหิมทำท่าจะแข็งข้อ จนพวกทหารประสาทเสีย และเกิดการสังหารหมู่ขึ้นในหุบเขาที่เรียกว่า วูนเดดนี (Wounded Knee แปลว่า เข่าที่บาดเจ็บ) เหตุการณ์ครั้งนี้ บัฟฟาโล บิลล์ ได้ถูกทางการเรียกเข้าไปช่วยแก้ปัญหา ซึ่งเขาได้นำกองกำลังอินเดียนแดงที่เคยช่วยสร้างสันติภาพมาก่อน เข้าไปไกล่เกลี่ย และเดินทางไปยังวูนเดดนี เพื่อช่วยฟื้นฟูความสงบให้คืนมา
นี่คือประวัติย่อ ของยอดคาวบอยผู้มีความสามารถและชื่อเสียงที่ทุกคนยอมรับ ทั้งในชีวิตจริงและการแสดง การแสดงไวล์ดเวสต์โชว์ของบัฟฟาโล บิลล์ ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องถึง 30 ปี ผู้คนทุกระดับต่างหลั่งไหลไปชมกันจากทั่วประเทศ และช่วงหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปแสดงในยุโรป และอยู่ขุดทองจากการแสดงอย่างต่อเนื่องที่นั่นถึง 10 ปี ในยุคนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
น่าเสียดายที่ หนังเรื่อง Buffalo Bill and The Indian ที่ผู้อำนวยการสร้างหนังหัวไม่ถึงรสนิยมคาวบอยอินเดียนชื่อ Robert Altman สร้างให้กลายเป็นหนังตลก ที่บดบังความกล้าหาญโดดเด่นของเขาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผมเห็นว่า เป็นการทำลายภาพพจน์ในด้านดีของยอดวีรบุรุษตัวจริงคนนี้อย่างไม่น่าให้อภัย
จีน ออทรี(Gene Autry) ดาราคาวบอยผู้เขียนบทบัญญัติคาวบอย
ดาราคาวบอยที่โด่งดังยุคหลังบัฟฟาโล บิลล์ และมีอิทธิพลต่อค่านิยมคาวบอยมากสุด ได้แก่ จีน ออทรี (Gene Autry) และ รอย โรเจอร์ส( Roy Rogers) ซึ่งเป็นทั้งนักร้อง และนักแสดง จีนเป็นนักแสดงเดี่ยว มีกิจการแสดงของตนเองและโด่งดังมาก่อนรอย รอย เป็นนักร้องลูกทุ่งสไตล์โห่(Yodel) ที่บริษัทสร้างหนังนำมาแทนยีนในยุคหลังที่ยีนเริ่มเป็นผู้สร้างหนังของตนเอง ซึ่งกลายเป็นรูปแบบที่ รอย ตอนหลังก็เจริญรอยตามเช่นกัน ประวัติย่อๆ ของทั้งสองคน มีดังนี้
4.2 จีน ออทรี (Gene Autry) คาวบอยวีรบุรุษ[1]
จีน ออทรี คือนักร้องคาวบอย (Singing Cowboy) คนแรกของโลก เขาเกิดในปี ค.ศ. 1907 ที่เมืองไทโอกา(Tioga) รัฐเท็กซัส เดิมมีอาชีพเป็นพนักงานส่งโทรเลข เริ่มมีชื่อจากการร้องเพลงโห่ลูกทุ่งมาตั้งแต่ปี 1929(พ.ศ.2472) โดยได้ฉายาว่า “คาวบอยโห่แห่งโอกลาโอมา(Oklahoma’s Yodeling Cowboy)” และเริ่มแสดงหนังคาวบอยในปี 1934 จนถึงปี 1953 รวม 93 เรื่อง ร้องเพลงบันทึกเสียงไว้ประมาณ 640 เพลง ในจำนวนนี้เขาแต่งเองและร่วมแต่ง รวม 300 เพลง
ช่วงปี ๑๙๔๐-๑๙๕๖ จีน ออทรี โด่งดังมากจากรายการทางวิทยุของสถานี CBS ที่ชื่อ เมโลดี้แรนซ์โชว์(Melody Ranch Show) ซึ่งประกอบด้วยรายการเพลง และละครวิทยุเกี่ยวกับเรื่องราวยุคคาวบอย ในปี ๑๙๔๐ เขาร่วมปรากฎตัวขี่ม้าคู่ใจชื่อ แชมเปี้ยนกระโดดลอดห่วงไฟในงานโรดิโอที่ยิ่งใหญ่ชื่อ Flying "A" Ranch Rodeo ในนิวยอร์ค และได้รับการต้อนรับอย่างท่วมท้น ต่อมาเขาจึงลงทุนซื้อที่ดิน จัดการแสดง Flying “A” Ranch Rodeo Show ของตัวเอง และผูกพันกับงานโรดิโออย่างยาวนาน ถึงขั้นตั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่องานนี้ ที่โคโลราโดและอาริโซนา
ออทรีซื้อโมโนแกรมสติวดิโอ(Monogram Studio)ในปี ๑๙๕๒ และตั้งชื่อใหม่ว่า เมโลดีแรนซ์ (Melody Ranch) ใช้เป็นสถานที่ผลิตหนัง รายการทางวิทยุและทีวีสำหรับออกอากาศในช่วงเสาร์อาทิตย์ทุกสัปดาห์ มีหนังประเภท B-Western ประมาณ ๗๕๐ เรื่องที่ถ่ายทำที่นี่ก่อนตกเป็นของจีน หลังจากเป็นของยีนแล้ว หนังคาวบอยดังๆ ที่แสดงโดยดาราคาวบอยผู้เป็นตำนานแห่งยุค เช่น จอห์น เวย์น, แกรี่ คูเปอร์, รอย โรเจอร์ส, วิลเลียม เอส อาร์ท, ทอม มิกซ์ ก็ได้เช่าใช้สถานที่แห่งนี้จนถึงปี ๑๙๖๒ จึงเกิดไฟไหม้เสียหายเกือบหมด ยีนได้ใช้ส่วนที่เหลือเป็นที่เลี้ยง แชมเปี้ยน ม้าคู่ใจจนมันสิ้นชีวิตในปี ๑๙๙๐ จากนั้นเขาจึงขายต่อให้แก่พี่น้องตระกูลเวลูแซต(Veluzat) ซึ่งซื้อไปบูรณะเป็นเมืองคาวบอยให้เช่าถ่ายหนังพร้อมอุปกรณ์ครบทุกอย่างในทุกวันนี้ [2]
จากการแสดงทั้งทางวิทยุ ทีวี และหนังฉายโรงประเภท B-western เขากลายเป็นดาราขวัญใจยอดนิยมของคนอเมริกัน ตั้งแต่พวกเด็กๆ ผู้ใหญ่ จนถึงคนแก่ที่เคยมีชีวิตในยุคตะวันตกรุ่งเรืองมาก่อน
ไม่ใช่แค่เป็นวีรบุรุษบนจอแก้วเท่านั้น จีน ออทรี ยังเป็นวีรบุรุษจากสงครามโลกอีกด้วย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ๑๙๔๒-๔๖ (ช่วงนี้เองที่ทางผู้ผลิตภาพยนตร์และรายการวิทยุนำ รอย โรเจอร์ส มาแสดงแทนเขาเต็มตัว) เขาสมัครเป็นทหารอากาศ และได้เป็นนักบินขับเครื่องบิน C-47 Skytrain ขนกระสุนและระเบิด ผ่านน่านฟ้า จีน-อินเดีย-พม่า โดยบินผ่านช่องเขาหิมาลัยระหว่างพม่ากับจีนที่อันตรายที่สุดที่เรียกว่า Hump
ช่วงปลายสงครามเขาเข้าปฏิบัติการในหน่วยพิเศษแถวมหาสมุทรแปซิฟิก และปลดประจำการกลับเข้าสู่อาชีพนักแสดงในปี ๑๙๔๖ เขาได้รับเหรียญเกียรติยศ ๓ เหรียญจากภารกิจในสงครามคือ American Campaign Medal, Asiatic-Pacific Campaign Medal, และ World War II Victory Medal.
จีน ออทรีมีสัมผัสทางธุรกิจดีมาก สามารถเป็นเจ้าของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่ได้รับรางวัลถึงสองแห่งคือ KMPC และ KTLA เป็นเจ้าของทีมเบสบอลล์ American League California Angels ในปี 1961ซึ่งเป็นทีมที่มีชื่อเสียงมาก คนอเมริกันยุคหลังรู้จักเขาจากทีมเบสบอลล์มากกว่านักแสดงคาวบอยเสียอีก เขาอยู่ในตำแหน่งรองประธานสมาคมอเมริกันเบสบอลล์จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ในปี ๑๙๘๑ เขาขายสถานีโทรทัศน์ KTLA เป็นเงินถึง ๒๔๕ ล้านดอลลาร์ ในปี ๑๙๙๕ เขาติดอันดับ ๔๐๐ อเมริกันที่รวยที่สุด ของแมกกาซีนฟอร์เบส มีทรัพย์สินรวม ๒๑๐ ล้านดอลลาร์
ในปี ๑๙๘๘ จีน ออทรี สร้างพิพิธภัณฑ์มรดกตะวันตกของ จีน ออทรี (Gene Autry Western Heritage Museum) และกลายเป็น ศูนย์แห่งชาติออทรี (Autry National Center) ที่ให้การศึกษาด้านวัฒนธรรมตะวันตกในปัจจุบัน
เพลงที่โด่งดังมากที่ยีนสร้างชื่อเสียงขึ้นมา และยังมีการนำมาร้องทุกวันนี้ได้แก่ Ghost Riders in The Sky ซึ่งเขาสร้างเป็นหนังด้วย และอีกเพลงคือ Back In The Saddle Again จีน เป็นดาราคนเดียวในโลก ที่ได้รับเกียรติสูงสุด ๕ ดาวใน ๕ สาขาการแสดงที่ได้รับการประทับดาวไว้บนถนนฮอลลีวูด (Hollywood Walk of Fame) คือ สาขาวิทยุ การอัดแผ่นเสียง ภาพยนตร์ ทีวี และ การแสดงสดบนเวที ซึ่งมีที่อยู่ของดาวตามตารางที่แสดงไว้นี้
ชื่อ |
สาขา |
ที่อยู่ของดาว |
|
Motion pictures |
6644 Hollywood Blvd. |
Radio |
6520 Hollywood Blvd. |
|
Recording |
6384 Hollywood Blvd. |
|
Television |
6667 Hollywood Blvd. |
|
Live theatre |
7000 Hollywood Blvd. |
|
ภาพดาวจาก http://www.710kmpc.com/ |
ภาพดาวบนทางเท้าของถนน Hollywood Boulevard และ Vine Street ที่ดารามีระดับเท่านั้นจึงจะได้รับเกียรติสร้างดาวของเขาประดับไว้ให้คนย่ำไปมา ภาพจาก http://en.wikipedia.org/
จีน ออทรี คือผู้บัญญัติกฎปฏิบัติสำหรับผู้อยากเป็นคาวบอย 10 ข้อขึ้นมาเป็นคนแรก และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ บทบัญญัติคาวบอย “Cowboy Code” หรือ “Cowboy Commandments” ซึ่งได้กล่าวไว้ในบทที่ 1
4.3 รอย โรเจอร์ส ราชาคาวบอย (Roy Rogers, King of the Cowboys)
รอย โรเจอร์ส[3],[4] ไม่ได้เป็นคนมีชีวิตในฟาร์มมาแต่เด็กเหมือน จีน ออทรี เขาเกิดวันที่ ๕ พฤศจิกายน. ค.ศ.๑๙๑๑ ในเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ(Cincinnati, Ohio) ในชื่อ ลีโอนาร์ด แฟรงกลิ้น สไล (Leonard Franklin Slye) พ่อมีสายเลือดอินเดียนแดงเผ่าเชโรกีร้อยเปอร์เซ็นต์ ครอบครัวยากจน เขาต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อทำงานทุกชนิดที่พอเลี้ยงชีพได้ ตั้งแต่เป็นคนเก็บผลไม้ในไร่ กรรมกรในโรงงาน เริ่มชีวิตการแสดงโดยการเป็นนักร้องเพลงโห่ลูกทุ่งเช่นกัน และตั้งวงดนตรีของตนเองตั้งแต่อายุ 18 ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องชื่อ สแตนเลย์ โดยรับจ้างร้องเพลงตามงานเต้นรำและโรงละครท้องถิ่น แต่ไปได้ไม่ดีนัก ระยะหลังรอยจึงดิ้นรนเข้าไปแสวงโชคในรัฐคาลิฟอร์เนีย
จนถึงปี 1934 รอยจึงเริ่มมีชื่อเสียง โดยร่วมกับนักร้องคาวบอยที่มาดังร่วมกันตอนหลังอีกสองคน คือ บ๊อบ โนแลน และ ทิม สเปนเซอร์ ตั้งวงคาวบอยครั้งแรกชื่อ O-Bar-O Cowboys ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ไพโอเนียส์ เมื่อได้รับโอกาสแสดงทางวิทยุครั้งแรก ผู้ประกาศไม่เคยได้ยินชื่อวง จำผิดจาก ไพโอเนียส์ ประกาศเป็น Sons of the Pioneers เพราะเห็นเป็นพวกเด็กๆ แต่ปรากฏว่า การแสดงครั้งนั้น รอย ได้เตรียมเพลงและซ้อมวงมาอย่างดี จึงทำให้ผู้ฟังชื่นชอบกันมาก และทำให้ได้เกิดในวงการเพลงในชื่อที่ประกาศตั้งแต่วันนั้น เพลงที่สร้างชื่อให้แก่วงของเขามากในยุคนั้น คือเพลง “Cool Water” และ “Tumble Tubleweeds” ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าเป็นจำนวนหนึ่งในเพลงคาวบอยอมตะแห่งยุค
รอย โรเจอร์ เริ่มแสดงหนังกับบริษัท รีพับบลิค สติวดิโอ(Republic Studio) ครั้งแรก ในปี 1935 แต่ยังไม่มีชื่อเสียงนัก เนื่องจากยุคนั้น จีน ออทรี คือดาราใหญ่ที่ดังมาก่อนในประเภทซิงกิ้งคาวบอย ต่อมาบริษัทเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาแสดงหนังกับ จีน ออทรี จึงซุ่มสร้าง รอย ขึ้นมาโดยหวังจะให้เป็นผู้มาแทนจีน ออทรี จนในปี ๑๙๓๘ เขาจึงได้แสดงหนังแทน จีน ออทรี เต็มตัวในเรื่อง Under Western Stars ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างล้นหลาม ชื่อเสียงของเขาจึงดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงปี ๑๙๔๒ เมื่อ จีน ออทรี สมัครเข้าเป็นทหารออกรบในสงครามโลกครั้งที่ ๒ รอยจึงผงาดเป็นดาราอันดับหนึ่งของประเทศได้ และได้รับฉายาว่า “ราชาแห่งคาวบอย(King of the Cowboys)” ตามชื่อหนังของเขาเรื่องหนึ่ง
ในปี ๑๙๔๔ รอยเริ่มแสดงหนังกับดาราสาวสไตล์ตะวันตกผู้โด่งดังคนหนึ่ง ชื่อ เดล อีวาน(Dale Evan) ในเรื่อง The Yellow Rose of Texas ซึ่งกลายเป็นคู่ขวัญบนจอเงินต่อมาจนตลอดชีวิตการแสดงของเขา เดล อีวาน ได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งคาวเกิร์ล (Queen of the Cowgirls)”
ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ภรรยาของรอยเสียชีวิต จากการคลอดลูกชายคนเดียวของเขา อีก ๑ ปีต่อมา รอยก็แต่งงานกับ เดล อีวาน (เป็นการแต่งงานครั้งที่ 4 ของเธอ) และอยู่ร่วมกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ทั้งสองมักแสดงหนังคู่กันเสมอ และได้รับความนิยมสูงมากจนเกินหน้า จีน ออทรี ทั้งเรื่องเพลงและการแสดง สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของรายการทีวีของตนเองชื่อ “รอย โรเจอร์ส โชว์” ซึ่งออกอากาศทางสถานี CBS จากปี ๑๙๕๑ จนถึง ๑๙๖๔ และเป็นรายการที่ เดล อีวาน แต่งเพลงอมตะอีกเพลงหนึ่งคือ Happy Trails เพื่อใช้เป็นเพลงอำลาตอนจบของรายการทีวีแต่ละตอน
ดูเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของดาราดังสไตล์ตะวันตกในยุคนั้น ที่แต่ละคนจะต้องมีดาราแสดงคู่หูที่เรียกว่า sidekick ซึ่งจะคอยเป็นตัวตลกงี่เง่า เพื่อเสริมบุคลิกของตัวเอกให้เด่นขึ้น รอยมี sidekick สองคนชื่อ Pat Brady และ Gabby Hayes นอกจากนี้ ยังมีม้าแสนรู้ของเขาที่ชื่อ ทริกเกอร์(Trigger) และสุนัขแสนรู้ชื่อ บุลเลตต์(Bullet) ช่วยเสริมอีกทางหนึ่ง
เพลงคาวบอยที่มีชื่อเสียงของรอย ได้แก่ Happy Trails ดังกล่าวแล้ว และเพลงที่เขาร่วมร้องในวง Sons of The Pioneers ชื่อ Tumbling Tumbleweeds, Cool Water สำหรับผู้เขียน ชอบเพลง Cowboy Night Herd Song มากที่สุด ในปี ๑๙๖๕ สองสามีภรรยาได้ตั้งพิพิธภัณฑ์ Roy Rogers and Dale Evans Museum ข้นในวิเตอร์วิลเล คาลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันถูกย้ายไปอยู่มิสซูรี ทั้งสองคนได้ชื่อว่ามีความเมตตาสูง ได้รับเด็กยากจนเป็นลูกบุญธรรมถึง ๔ คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กเกาหลี แต่ชีวิตครอบครัวก็มีเรื่องเศร้า เมื่อลูกที่เกิดจากเดล คนหนึ่งเสียฃีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่ออายุได้แค่ 2 ขวบ เด็กที่รับมาเลี้ยงสองคนเสียชีวิตเมื่อโตเป็นหนุ่มสาวจากอุบัติเหตุรถเมล์คนหนึ่ง อีกคนหัวใจวายตายขณะรับราชการทหารในยุโรป
รอยได้รับเกียรติบน Hollywood Walk of Fame เพียง 4 ดาวคือ สาขา วิทยุ เพลง ภาพยนตร์ และทีวี
ยังมีดาราอีกหลายคน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.cowboylifeandsong.com/index.php?option=com_content&view=article&id=192:2011-05-07-09-36-36&catid=41:cowboy-legends&Itemid=85
ที่มา
- http://www.geneautry.com/, http://en.wikipedia.org/wiki/Gene_Autry/, http://www.nashvillesongwritersfoundation.com/fame/autry.html
- http://www.melodyranchstudio.com/
- http://www.biography.com/search/article.do?id=9542070&page=2
- http://www.royrogers.com/, http://en.wikipedia.org/wiki/Roy_Rogers
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|