คาวบอยไทยที่ชอบการแต่งกายแบบทหารฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ จะได้เห็นการแต่งกายและยุทธวิธีการรบยุคนั้นที่สร้างได้สมจริงมาก รวมทั้งความสังเวชเศร้าใจที่เห็นคนชาติเดียวกันต้องมาฆ่ากัน ทั้งๆ ที่บางคนก็ไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ต้องทำ ด้วยเหตุผลทางการเมืองเพียงเรื่องเดียว
นอกจากนี้ ยังมีฉากวิถีชีวิตยุคทองของตะวันตก เช่นบ้านไร่คนรวย ที่สวยงาม กว้างขวาง ท่ามกลางธรรมชาติ ฉากม้าป่าจำนวนมหาศาล ที่พบได้ตามทะเลทราย ที่หนังยุคนี้ คงไม่สามารถสร้างได้แบบนั้นอีกแล้ว
ตัวนำของเรื่องก็วางบุคลิกได้ดีมาก คนหนึ่งแสดงโดยจอห์น เวยน์ เป็นนายทหาร แต่ห้าวแนวคาวบอย ชอบชีวิตและการแต่งตัวง่ายๆ แบบคาวบอย โดดเดี่ยว แต่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ กล้าเสียสละ และพิทักษ์คุณธรรม ตามแบบที่ผมชอบเลย แถมยังรับเด็กอินเดียนแดงเป็นลูกบุญธรรมอีกด้วย อีกคน แสดงโดยร็อค ฮัดสัน เป็นนายทหารเจ้าระเบียบ แต่งตัวเนี๊ยบ เจ้ายศเจ้าอย่าง แต่ก็มีคุณธรรม และรักความยุติธรรมสูงคนหนึ่ง แม้แต่นายพลผู้ร้าย โรฮาส ก็ไม่ได้สร้างให้เป็นคนชั่วร้ายจนดูเกินจริง ผู้แสดง สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกทางใบหน้าให้เห็นได้เลยว่า เขาจำเป็นต้องทำบางอย่างเพราะตำแหน่งและสถานการณ์บังคับ





หลังประกาศยุติสงคราม กองกำลังบางส่วนที่แตกออกจากกองทัพฝ่ายใต้ของนายพล เจมส์ ออร์วิลลี เชลบี(General James Orville Shelby's) ไม่ยอมแพ้ หนีไปเม็กซิโก หวังจะไปรวมกับกองกำลังของแม็กซิมิเลียน ซึ่งสนับสนุนโดยกองกำลังจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3
ในช่วงไม่กี่วันระหว่างสงครามยุติ พันเอก จอห์น เฮนรี่ โธมัส (จอห์น เวย์น) นำกองทหารบุกโจมตีกองทหารฝ่ายใต้ หลังจากรบกันหลั่งเลือดจนฝ่ายใต้ลัมตายมากมายและพ่ายแพ้ ก็มีพลสื่อสารมาบอกว่า สงครามยุติ 3 วันมาแล้ว เพราะนายพลลีฝ่ายใต้ได้ลงนามยอมแพ้แล้ว







พันเอกโธมัสมองทหารฝ่ายใต้ที่เป็นศพและบาดเจ็บมากมายด้วยความสมเพชและเศร้าใจ เพราะถ้าเขารู้เรื่องนี้ก่อน ก็คงไม่ต้องมาฆ่ากันตายมากมายอย่างนี้




แต่หลังจากได้คุยกับนายทหารฝ่ายใต้ที่เป็นเชลย เขาก็รู้ว่า ทหารกลุ่มนี้ เป็นพวก “ไม่ยอมแพ้” และยอมตายจากการรบ เพราะพวกนี้รู้ว่านายพลลี ได้ลงนามยอมแพ้แก่นายพลแกรนต์ ฝ่ายเหนือเมื่อวันก่อนหน้านี้แล้ว แต่พวกเขายังไม่ยอม จึงตั้งกองกำลังสู้กับกองกำลังของ พ.อ.โธมัส จนถูกปืนใหญ่ และกองทหารม้าเขาถล่มจนเกือบไม่เหลือ โธมัสพูดกับนายทหารฝ่ายใต้คนที่รายงานเขาเรื่องนี้ตอนหนึ่งว่า “เราต่างก็เป็นคนอเมริกันด้วยกัน We are all Americans” และพาทหารกลับไปค่ายทหารฝ่ายเหนือ









ด้วยความเศร้าเสียใจที่ได้ฆ่าคนชาติเดียวกันไปจำนวนมาก และอ่อนล้าจากสงคราม พ.อ. โธมัส ตัดสินใจลาออกพร้อมทหารอาสาฝ่ายเหนือที่ติดตามเขาที่เหลืออยู่ประมาณ 10 คน จากเริ่มต้นที่เคยมี 75 คน ซึ่งฝีมือขี่ม้าและต่อสู้ยอดเยี่ยมระดับพระกาฬทุกคน เขาพาลูกน้องเดินทางไปตะวันตกเพื่อกลับบ้าน ตั้งใจจะไปจับม้าป่า แถวอาริโซนาและนิวเม็กซิโก เพื่อขายเอาเงินมาให้กลุ่มทหารเก่าพวกนี้นำไปตั้งตัวหลังสงคราม เพื่อชดเชยความภักดี มิตรภาพ และการรับใช้เขาช่วงสงคราม


พ.อ. โธมัส ได้นัดให้ลูกชายบุญธรรมซึ่งเป็นทหารสายเลือดอินเดียนแดงเผ่าเชโรกี ชื่อ บลู บอย (Blue Boy) และเพื่อนบ้านทั้งคนขาวและอินเดียนแดงอีกจำนวนหนึ่งให้มาช่วยงานนี้ รวมทั้งรถม้าเสบียงและอาหารพร้อมสำหรับทุกคน พวกเขาจับม้าได้รวมประมาณ 3000 ตัวภานในเวลา 2-3 เดือน และไปเสนอขายให้ตัวแทนของกองทัพ











































ในระหว่างทาง บลู บอย สังเกตุเห็นกองโจรเม๊กซิกันกลุ่มหนึ่ง กำลังซุ่มโจมตีกองเกวียนของ พ.อ. แลงดอน เขาและพ่อบุญธรรม พ.อ. โธมัส จึงเข้าไปเตือนให้ระวังตัว เกิดการสู้รบกับกองโจรที่เข้าโจมตีกองเกวียนอย่างดุเดือด ทั้งสองและกองกำลังของโธมัส ได้เข้าช่วย พ.อ. แลงดอน และครอบครัว ให้รอดพ้นจากกองโจรได้ในที่สุด ฉากนี้ พ.อ.โธมัส โชว์ฝีมือเสือปืนไวแบบคาวบอย เมื่อเขาเห็นโจรที่มาเจรจาเอื้อมมือไปแตะปืน เขาจึงชักปืนยิงโจรอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบจนโจรตกจากหลังม้า



















เมื่อถึงวันชาติอเมริกัน "Fourth of July" กลางทะเลทรายบนเส้นทางสู่เม็กซิโก พ.อ. แลงดอนได้เชิญ พ.อ. โธมัส และพวก เขาไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันชาติตามแบบชาวใต้ มีการเล่น เต้นรำ และท้าทายสู้กันด้วยหมัดรุ่นๆ จนเกิดมวยหมู่กลางงานเลี้ยง โดย พ.อ. หัวหน้าทั้งสองฝ่ายยืนดูด้วยความสนุกสนาน จนภรรยาของ พ.อ. แลงดอน ต้องลากปืนออกมายิงขึ้นฟ้า และสั่งให้หยุดมวยหมู่ ทุกอย่างจบกันด้วยดี แต่ชาร์ล็อตเต้ ลูกสาวของ พ.อ. แลงดอน และบลู บอย อินเดียนลูกบุญธรรมของ พ.อ. โธมัส ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันเข้าแล้ว จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกกันเดินทางไปสู่ปลายทางของตน



























































เมื่อกองเกวียนของ พ.อ. แลงดอน ถึงเป้าหมายที่เมืองดูแรงโก้ ก็พบว่า กองกำลังของจักรพรรดิแมกซิมิเลียนถูกขับไล่ออกไปหลายวันแล้ว โดยกองกำลังปฏิวัติของเม็กซิกันรีพับบลิกัน ของประธานาธิบดี เบนิโต จูเรส (Benito Juarez) กองทหารของนายพล โรฮาส (Rojas แสดงโดย Antonio Aguilar) เป็นผู้ยึดครองเมืองอยู่ ซึ่งเขามองว่ากองกำลังของต่างชาติทั้งหมดเป็นศัตรู และวางแผนจับกองกำลังฝ่ายใต้และครอบครัวของ พ.อ. แลงดอน เป็นเชลย เขาแสร้งทำเป็นตัวแทนของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียน จัดการต้อนรับขบวนของ พ.อ. แลงดอน อย่างสมเกียรติ์ มีการชักธงของฝ่านใต้อเมริกันขึ้นเสาคู่กับธงของเม็กซิโก จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างหรู เมื่อตายใจก็จับทหารและพลเรือนที่ตาม พ.อ. แลงดอนมาเข้าไปขังไว้หมด




























ฝ่ายอเมริกันที่เดินทางมาทั้งหมดจึงได้รู้ว่า เมืองดูแรงโกไม่ได้เป็นของฝรั่งเศสอีกแล้ว แต่ตกเป็นของกองกำลังรักชาติเม็กซิโก ซึ่งต้องการปลดปล่อยประเทศ และกำลังต่อสู้กับกองกำลังของจักรพรรดิที่เหลือ นายพลโรฮาสต้องการม้าจำนวนมาก จึงวางแผนชิงเอาม้า 3000 ตัว ที่คนของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียน ได้ส่งคนไปซื้อจากโธมันในราคาตัวละ 35 ดอลลาร์ แต่เขาไม่มีเงินจ่าย จึงวางแผนเอาคนอเมริกัน ในกลุ่มของ พ.อ. แลงดอน ทั้งหมด ไปแลกกับม้า 3000 ตัวของ พ.อ.โธมัส
นายพลโรฮาส บังคับให้ พ.อ. แลงดอน เป็นคนเอาจดหมายจากเขาไปให้ พ.อ. โธมัส ด้วยตนเอง ตอนแรกแลงดอนไม่ยอม บอกว่า เขาจะไม่มีวันไปขอความช่วยเหลือจากพวก แยงกี้ เด็ดขาด แต่แล้วก็ต้องยอม เมื่อโรฮาส ลากลูกน้องคนโปรดของเขาเข้าลานประหาร พร้อมจะยิงทันทีถ้าเขาปฏิเสธ






พ.อ. แลงดอน แทบไม่เชื่อว่า พ.อ.โธมัส และทหารเก่าฝ่ายเหนือลูกน้องของเขา จะยอมสละความหวังในการตั้งตัวหลังสงครามที่กำลังจะได้อยู่รอมร่อแล้ว เพื่อช่วยชิวิตคนของเขาซึ่งเป็นทหารฝ่ายใต้ ที่เคยรบกันหลั่งเลือดมาก่อน
ด้วยการตัดสินใจที่เด็ดขาด พ.อ.โธมัส ยอมทิ้งความหวังและความตั้งใจเดิม สั่งให้ลูกน้องต้อนม้า 3000 ตัวไปส่งให้นายพลโรฮาส แทนนำไปส่งให้ฝ่ายจักรพรรดิแม็กซิมิเลียน แม้จะไม่ได้เงินเลย เพื่อช่วยชีวิตคนอเมริกันด้วยกันถึงแม้จะเคยอยู่คนละฝ่าย

ในระหว่างทาง คนของจักรพรรดิได้พากองทหารเข้ามาปล้นเอาม้าคืน แต่ พ.อ.โธมัส วางยุทธวิธีการรบไว้ดี และทหารของเขาพร้อมคนอินเดียนแดงชาวบ้านของลูกชายบุญธรรม ช่วยกันต่อสู้จนชนะทหารของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนและผ่านไปได้
นายพลโรฮาส ขู่ว่า จะสั่งประหารคนของ พ.อ. แลงดอน ทีละ 5 คน ถ้า พ.อ. แลงดอนไม่กลับมา แต่ยังไม่ทันได้ประหารชุดแรก พ.อ. โธมัส และ พ.อ. แลงดอน ก็ต้อนม้า 3000 ตัวเข้ามาถึงเมืองพอดี นายพลโรฮาสและ ทหารฝ่ายปฏิวัติเม็กซิโกต่างโห่ร้องด้วยความดีใจที่จะได้ม้าที่หายากในช่วงทำสงครามกับจักรพรรดิแม็กซิมิเลียน
หนังเรื่องนี้ แสดงให้เห็นคุณสมบัติของลูกผู้ชายแท้ คือ พ.อ.โธมัส นายพันผู้ไร้ครอบครัวที่มีแค่ลูกบุญธรรมอินเดียนแดงเป็นเพื่อน และกองกำลังทหารแยงกี้ของเขา ที่ยอมสละม้า 3000 ตัว เพื่อเป็นค่าไถ่ครอบครัวและกองกำลังทหารของ พ.อ. แลงดอน ทหารฝ่ายใต้ที่เคยรบกันจนสูญเสียลูกชายมาก่อน ด้วยจิตใจของชายชาติทหาร ที่รู้แพ้ รู้ชนะ และรักชาติยิ่งชีพอย่างแท้จริง
ทั้ง นายพลโรฮาสจากกองกำลังปฏิวัติรักชาติเม็กซิโก พ.อ. โธมัส ทหารฝ่ายเหนือ พ.อ. แลงดอน ทหารฝ่ายใต้ จึงได้ร่วมดื่มฉลองความสำเร็จของการส่งมอบม้า 3000 ตัวให้กองกำลังปฏิวัติ โดยไม่ได้เงินสักสตางค์แดงเดียว แต่ได้ช่วยเพื่อนร่วมชาติที่เคยเป็นศรัตรูกันช่วงสงครามกลางเมือง โดยไม่มีการแบ่งแยกกันอีกต่อไป
ในตอนส่งมอบม้าให้นายพลโรฮาส พ.อ.โธมัน ได้คุยกับนายพลโรฮาสอย่างน่าฟังตอนหนึ่งว่า
“เป็นการต่อรองที่หินมาก ท่านนายพล”
“สงคราม คือ สงคราม ผู้พัน คุณน่าจะรู้ดี”
“ใช่... ชนะหนึ่ง” หันไปชี้ไปทางฝูงม้าป่าของเขา “ก็ต้องมี แพ้หนึ่ง “
ความหมายก็คือว่า นายพลโรฮาสชนะ เขาแพ้และต้องเสียม้าไปทั้งหมด 3000 ตัว เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้โดยดุษฎี
นายพลโรฮาส นำคอนยักมาดื่มกับสองพันเอกจากอเมริกา และแสดงความเกลียดชังฝรั่งเศสที่เข้ามาครอบครองประเทศของเขาออกมาด้วยการพูดว่า “ This is cognac, the only good thing that the French has brought ot my country. May I propose that we drink to the health and the success of our President Benito Juarez, the revolution and the future of Mexico” (นี่คือคอนยัก สิ่งเดียวที่เป็นของดีที่ฝรั่งเศสนำมาสู่ประเทศของผม ผมขอเชิญทานดื่มให้แก่สุขภาพและความสำเร็จของประธานาธิบดีของเรา เบนนิโต จูเรส, การปฏิวัติ และ อนาคตของเม็กซิโก” ทั้งสามชนแก้วและดื่มพร้อมกัน
พ.อ. โธมัส กล่าวเชิญดื่มตอบด้วยการพูดว่า “General, may I propose a toast to The United State of America! (ท่านนายพล ผมขอเชิญดื่มเพื่อสหรัฐอเมริกา)” เมื่อเขาเห็น พ.อ. แลงดอน ไม่ยอมชนแก้วร่วมดื่มด้วย เพราะเขายังคิดว่าเขาเป็นฝ่ายใต้ซึ่งตั้งใจจะแยกออกจากสหรัฐอเมริกา พ.อ.โธมัสจึงกระเซ้าว่า “"Not even for three thousand horses"??!!, “”จะไม่ร่วมด้วยแม้แต่เพื่อม้า 3000 พันตัวหรือ” ในที่สุด พ.อ.แลงดอน ก็ยอมชนแก้วด้วย และพูดว่า “To the United States of America” แต่ก็ไม่วายตบท้ายว่า “and the Confederacy”!! (และเพื่อสมาพันธ์ ซึ่งหมายถึงรัฐฝ่ายใต้ทั้งหมด)
ในที่สุด ทั้งสองพันเอก ก็รวมผู้ติดตามของเขาเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มเดียว (สมานฉันกันได้แล้ว) และขี่ม้าออกจากเมืองดูแรงโก เพื่อกลับบ้านเกิดในอเมริกาด้วยกัน พ.อ โธมัส และ แลงดอนขี่ม้าคู่กัน แลงดอนมองไปทาง บลู บอย และ ชาร์ล็อตเต้ ลูกสาวของเขาที่ขี่ม้าคู่กันอยู่อีกด้านหนึ่ง และถามว่า
“Jonn Henry, what is that Indian boy intend to? (จอห็น เฮนรี่, เด็กอินเดียนนั่นตั้งใจจะทำอะไร)”
“Probably just greatful, colonel. But it’s not what he will do to her, but what she has done to him! (บางที อาจแค่สำนึกในบุญคุณแค่นั้น ผู้พัน แต่มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาจะทำอะไรเธอ แต่อยู่ที่ว่า เธอได้ทำอะไรเขาแล้วนะสิ!)” ที่เขาพูดนั้น ก็เพราะตอนนี้ บลูบอย ถูกชาร์ล๊อตเต้สั่งให้ตัดผมสั้นเหมือนคนขาวไปแล้ว ไม่ได้เป็นอินเดียนผมยาวอีกต่อไป และทั้งสองต่างก็หัวเราะด้วยกัน
ฉากจบ เป็นตอนที่ทั้งสองพันเอกรวมสองกองเกวียนและทหารเก่าเป็นขบวนเดียว เดินทางกลับบ้านเกิดในอเมริกา
พ.อ. โธมัส แวะไปคุยกับสาวที่ถูกใจคนหนึ่ง ที่ถามเขาถึงอนาคตที่จะทำเมื่อกลับถึงบ้าน มีผู้หญิงอยู่ที่บ้านหรือเปล่า เขาตอนว่าเขาไม่มี แต่ที่เขาอยู่ดินดี ก็คงจะทำฟาร์ม เลี้ยงวัว สร้างครอบครัว สาวถามว่าจะสร้างครอบครัวหรือและจ้องหน้าท้าทาย โธมัสเขิน จึงแกล้งหันไปสั่งให้ลูกน้องที่กำลังเป่าฮาร์โมนิกาอยู่ให้เปลี่ยนเพลงอื่นบ้าง และจ้องหน้าสาว เป็นที่รู้กันว่า นี่คงจะเป็นคู่ครองเพื่อสร้างครอบครัวของเขาเมื่อกลับถึงบ้าน
เพลงที่เล่นตอนจบเรื่องนี้ เป็นเพลงที่คนอเมริกันชอบเล่นกันในโอกาสที่จะแสดงถึงความสามัคคี รักชาติ โดยใช้ฮาร์โมนิกากันมาจนถึงปัจจุบัน เพลงพวกนี้ได้แก่ "Dixie", "Battle Hymn of the Republic" การพูดว่า 'Not that one neither Yank'!!, และเพลง "Yankee Doodle Dandy"!!.
----------------------
เนื้อหาบางส่วนจาก https://en.wikipedia.org/wiki/The_Undefeated_(1969_film)
****************************
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|