ได้ยินเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และ อสท พยายามโปรโมทมานานแล้วว่า จะช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยสร้างภาพ ปากช่องเมืองคาวบอย เขาใหญ่เมืองคาวบอย หรือมวกเหล็กเมืองคาวบอย และนายทุนหลายคนก็พยายามจะสร้างรีสอร์ทคาวบอยของตนขึ้นมาอีก ซึ่งหลายแห่งผมได้ไปเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเหมือนสวนสนุกแบบแดนเนรมิตรสมัยก่อน คืออยู่ในพื้นที่แคบๆ ของใครของมัน และเป็นรีสอร์ทหรือจุดท่องเที่ยวส่วนน้อย ไม่มีบรรยากาศของคาวบอยที่แท้จริง หลายอย่างทำได้ไม่แนบเนียน ไม่น่าประทับใจเลย เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นความเป็นคาวบอยมันพัฒนาขึ้นมามากนัก นอกจากมีร้านขายสินค้าพวกเสื้อผ้า หมวก บู๊ต มือสองมากขึ้น การที่เมืองใดจะเป็นคาวบอยได้ คงไม่ใช่เพราะการขายเสื้อผ้าคาวบอยมือสองมากๆ กระมัง มันต้องมีจุดสำคัญที่ตรงกับสะโลแกนของสถานที่พอควรด้วย
รีสอร์ทหลาย แห่งที่เคยมีบรรยากาศคาวบอยมากๆ ก็เริ่มเลือนๆ หายไป และแหล่งท่องเที่ยวแนวคาวบอยบางแห่ง เช่น เขาใหญ่ ก็เริ่มจะกลายพันธุ์ เป็นศูนย์การค้าสไตล์อิตาลี ซึ่งไม่ได้เป็นคาวบอยแม้แต่น้อย แต่กลายเป็นตึกสีฉูดฉาด อาหารฝรั่งราคาแพง ของที่ระลึกนำเข้าสไตล์ยุโรป
ใน ฐานะคนชอบคาวบอย จึงรู้สึกผิดหวัง และอยากให้ไอเดียแก่ใครก็ตาม ที่อยากจะพัฒนาชุมชนของตนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวว่า การที่ต่างคนต่างทำ หรือเห่อตามเขา ใครทำอะไรสำเร็จก็จะแห่ทำตามๆ กันไป มันอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะดีมานด์มันจำกัด เห่อทำอะไรเหมือนๆ กัน สุดท้ายก็แย่งลูกค้ากันได้คนละเล็กละน้อย ไม่พอยาใส้ แล้วก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากกันไป
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ควรที่จะมีการวางแผนระยะยาว และมีการร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะร่วมมือกับชุมชนในท้องที่ ซึ่งเท่ากับสร้างแหล่งทำมาหากินของเขาให้รุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ไม่ใช่รอแต่นายทุนต่างถิ่นมาทุ่ม สร้างจุดท่องเที่ยวแปลกใหม่ดึงคนได้วูบๆ วาบๆ แล้วก็หายไป
ในชีวิตผม ได้เคยท่องเที่ยวต่างประเทศมาพอควร อย่างน้อยก็ 10 กว่าประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวแนวคาวบอยที่ผมประทับใจมากอยู่ 2 แห่ง จึงอยากจะนำมาเล่าให้กันฟังเพื่อเป็นแนวคิด สถานที่ท่องเที่ยวที่ว่านี้ มีทรัพยากรณ์ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือเป็นเมืองเหมืองแร่ในประวัติศาสตร์ยุคคาวบอย จึงมีจุดขายอยู่แล้ว แต่แค่จุดขายแค่นี้ ถ้าเขาไม่ทำอะไรเพิ่ม มันก็คงจะเหมือนหลายแห่งในไทย ที่มีคนไปเที่ยวกันหรอมแหรม พ่อค้าแม่ค้าอยู่แทบไม่ได้ ทั้งนี้เพราะมันห่างไกลจากเมืองใหญ่ค่อนข้างมาก
ดังนั้น การโปรโมทแหล่งท่องเที่ยว ที่ไม่ได้มีอะไรที่เป็นคาวบอยเลย ให้เป็นเมืองคาวบอยดังกล่าวแล้ว ยิ่งจะต้องร่วมมือกันทำอะไรให้มากกว่า และเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่พูดผ่านสื่อเป็นระยะๆ คอยแต่พึ่งบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้างอาชีพเลี้ยงโคนมเอาไว้ให้ชุมชนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ผมอยาก จะเล่าถึงแหล่งท่องเที่ยวแนวคาวบอย 2 แห่ง ที่ผมประทับใจคือ Calico Ghost Town บนเส้นทางจากคาลิฟอร์เนียไปลาสเวกัส และ Sovereign Hill ในออสเตรเลีย แม้ช่วงเวลาที่ผมไปเที่ยวที่นั่นจะผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว แต่จากการติดตามเข้าดูทางเว็บ ก็เห็นว่าเขายิ่งพัฒนาขึ้น ได้รับความนิยมมีชื่อไปทั่วโลกมากกว่าเดิม
1. Calico Ghost Town
จาก wikipedia มีคนเขียนไว้ว่าเมืองคาลิโกหรือ Calico Ghost Town เป็นเหมืองแร่เงิน ที่รุ่งโรจน์ระหว่างปี 1881-1907 ช่วงเจริญสุด มีคนในเมืองประมาณ 1200 คน มีเหมืองเงิน 500 กว่าเหมือง มีบาร์หรือซาลูน 22 แห่ง มีย่านคนจีน โบรเต็ล บ่อนการพนัน โบสถ์ และแม้กระทั่งโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ เมืองนี้กลายเป็นเมืองร้างตั้งแต่ปี 1907 เนื่องจากราคาแร่เงินตกไม่คุ้มกับการลงทุนที่นี่ ดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองผีหรือ Ghost Town ประมาณกันว่า ตลอดอายุของมัน เมืองนี้ผลิตเงินได้ประมาณ 86 ล้านดอนลาร์ และผลิตแร่โบแรกซ์ได้ประมาณ 45 ล้านดอลลาร์
ในปี 1951 นาย Walter Knott เจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง ได้ซื้อเมืองคาลิโกและได้พยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิม โดยใช้รูปถ่ายที่มีอยู่ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ต่อมาในปี 1966 เขาบริจาคเมืองให้แก่ San Bernardino County (อาจเทียบ country ได้กับจังหวัด) ทำให้มันกลายเป็นปาร์คของแถบนี้ ซึ่งได้พัฒนาเป็นจุดท่องเที่ยวชมเหมืองแร่ สาธิตการร่อนเงิน และมีการแสดง stunt show เป็นเรื่องการดวลปืนของคาวบอยทุกวัน
ผมได้ไปชมเมืองนี้ประมาณปี 1994 ต่อมาในปี 2001 ก็เกิดไฟไหม้ ทำให้รถม้าโบราญที่ใช้ขายข้าวโพดคั่วและอาคารอีก 5 หลังกลายเป็นเถ้าถ่าน ดังนั้น ใครที่ไปเที่ยวที่นี่หลังปี 2001 จึงไม่ได้เห็นอาคารร้านค้าที่ผมเคยเห็น เท่าที่ดูจากรูป ดูมันไม่เหมือนต้นฉบับสักเท่าไร
ที่ประทับใจมากคือการรักษาสภาพเดิมของมันไว้ โดยพยายามสร้างบรรยากาศคาวบอยให้คงอยู่ มีการจ้างคนแต่งคาวบอย ผู้หญิงก็แต่งแฟชั่นยุคนั้นมาเดินแสดงตัว และขายของ เหมืองแร่เขาก็ยังให้เข้าไปดูบางแห่ง รถไฟ รถม้าเก่าๆ เครื่องมือทำเหมืองบางอย่าง ก็ยังรักษาไว้ ซากรถ เครื่องมือเครื่องจักรยุคโน้น ก็ยังมีวางเรี่ยราดให้เห็นเป็นที่ๆ จากการดูข้อมูลทางเว็บ เห็นว่ามีอาสาสมัครชาวบ้านใกล้เคียงมาแต่งตัวโชว์นักท่องเที่ยวด้วย ในยุคคาวบอย แฟชั่นการแต่งกายของที่นี่มีชื่อเสียงมากจนได้รับชื่อว่า สไตล์คาลิโก ชุดตะวันตกสวยๆ ของผู้หญิงตามแฟชั่นเมืองคาลิโกยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้
คนที่ไปก็จะรู้สึกว่า เหมือนได้สัมผัสคาวบอยคาวเกิร์ลตัวจริงในเมืองคาวบอยจริงๆ ในประวัติศาสตร์
ลองมาดูรูปที่ผมถ่ายจากอัลบัมรูปถ่ายที่อัดไว้บางส่วนว่า คาลิโกยุค 10 กว่าปีก่อนเป็นอย่างไร
ถนนผ่านทะเลทรายไปคาลิโก
มองเห็นเมืองคาลิโกแล้ว
นักท่องเที่ยวเดินเข้าเมือง
ผมเดินไปกะเขาด้วย
รถขาย Pop CORN นี้ถูกไฟไหม้ในปี 2001
คาวบอยที่จะดวลปืนกันทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง
นักล่าเงินรางวัลตามมาแล้ว
ออกมาประจันหน้า ด่ากัน สักพักก็ยิง คนนี้ตาย ตอนยิงกันผมถ่ายวิดีโอจึงไม่มีรูป
รูปนี้เอามาจากเว็บแห่งหนึ่ง ปี 2007
หัวหน้าทัวร์ผมไปถ่ายรูปกับมือปืนด้วย
เอาบ้าง
สาวๆ ถ่ายรูปกับนายอำเภอ
ถ่ายมั่ง
มีคนเขียนจำนวนประชากรของคาลิโกเอาไว้
สาวๆ อาสาสมัครแต่งชุดตะวันตกสไตล์คาลิโกมาช่วยงาน รูปภาพจากเว็บแห่งหนึ่งในวันนี้ มีข้อมูลเพิ่มว่า เขาร่วมมือกับโรงเรียนจัดเด็กมาทดลองร่อนแร่ทองเหมือนเหมืองทอง Sovereign Hill ที่ออสเตรเลียด้วย
ออฟฟิสนายอำเภอยุคนี้ ลงทุนมากขึ้น
คาลิโอปัจจุบัน มีนาคม 2010
2. Sovereign Hill
โซเวอเรนฮิลล์ เป็นเหมืองทองเก่าในออสเตรเลีย ห่างจากเมืองเมลเบิร์นประมาณขับรถ 1.5 ชั่วโมง แต่มีสถานที่ตามรายทางให้แวะหลายแห่ง ดังนั้นเจ้าหน้าที่จาก Mohash University (Peninsula campus) ที่พาผมไปเที่ยว จึงใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จัดเป็นสถานที่ท่องเทียวเหมืองทองคล้ายคาลิโก แต่มีการร่วมมือร่วมใจกันดีมาก
เราสามารถไปพักที่หมู่บ้านได้ มีที่พักเป็น lodge หรือจะโฮมสเตย์ก็ได้ ผมไปที่นั่นในปี 1996 ชาวบ้านจะผลัดเปลี่ยนกันแต่งตัวแบบโบราณมาโชว์ตัวในบริเวณเหมือง แม้แต่เด็กๆ ก็แต่งตัวมาทำทีเป็นกำลังร่อนทองในลำธาร นักท่องเที่ยวก็เลยชอบลงไปเต๊ะท่าร่อนทองบ้างเพื่อถ่ายรูป เด็ก และผู้ใหญ่จะแต่งตัวย้อนยุค และมีขวดเล็กๆ ที่เขาจะเอามาให้เราดูและชี้ให้เห็นเกล็ดทองคำเล็กๆ ปนอยู่ และชวนให้เราร่อนหาทองพวกนี้ น่ารักมาก เรียกว่าแสดงละครเอาใจนักท่องเที่ยวกันทั้งหมู่บ้าน
ปัจจุบันมีวิดีโอแนะนำที่ youtube คลิ๊กดูได้ที่ลูกศรข้างล่าง
การร่วมมือกับโรงเรียนในพื้นที่
การร่วมมือกับองค์กรและชุมชนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังเป็นเรื่องที่น่าเอามาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างมาก จากเว็บไซต์ http://www.sovereignhill.com.au/education ในวันนี้ เขาบอกว่า เขาร่วมมือกับโรงเรียนหรือวิทยาลัยในพื้นที่ จัดให้เป็นสถานที่ศึกษาทางประวัติศาสตร์ มีครูที่เชียวชาญรับจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวทัศนศึกษาวิธีการทำเหมืองทองยุค โบราณ และเรียนรู้วิถีชีวิตยุคตื่นทอง โดยการลงมือปฏิบัติจริง
ด้าน การแต่งกาย เขาจัดเป็น Custumed Schools Program จัดโปรแกรมให้นักเรียนนักศึกษาเข้าหลักสูตรการเรียนรู้ชีวิตยุค 1850 จากสถานที่จริง เช่น เรื่อง กริยามารยาท การวางตัว การแต่งกาย พฤติกรรม โดยให้นักเรียนต้องมาแต่งกาย กิน อยู่ แบบย้อนยุคที่นี่เป็นเวลา 2 วัน มิน่าล่ะ ผมจึงเห็นเขาจริงจังกันมาก ถ้าไม่เอาจริงทำผิดคงถูกหักคะแนน
เช็ค จากประวัติย่อ พบว่า ที่นี่เป็นเหมืองทองเก่าแก่กว่าคาลิโกที่คาลิฟอร์เนียเสียอีก คือเริ่มทำเมื่อปี 1850 ก่อนคาลิโกตั้ง 30 ปี ซึ่งเป็นยุคตื่นทองในออสเตรเลีย จะเห็นความเจริญทางเทคโนโลยีของที่นี่ว่า เหนือกว่าเมืองคาวบอยที่คาลิฟอร์เนียยุคโน้นเสียอีก มีเครื่องจักรใหญ่โต มีร้านทำเครื่องใช้โลหะ เช่น ถ้วย ชาม หม้อ กะทะ มีโรงพิมพ์แบบเรียงตัวอักษร ปัจจุบันยังรับพิมพ์ใบประกาศการพบก้อนแร่ทองคำให้นักท่องเที่ยว ซึ่งเราใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้พบก้อนแร่ที่ใหญ่ที่สุดได้ ผมยอมเสียเงินมาใบหนึ่ง แต่ทำหายไปแล้ว ผมซื้อเครื่องบดกาแฟด้วยมือมาจากที่นี่เครื่องหนึ่ง
ปัจจุบันเขาส่ง เสริมมากขึ้น ข้อมูลที่พบจากเว็บวันนี้บอกว่า มีอาสาสมัครชาวบ้านกว่า 200 คน อาสาแต่งกายแบบยุค 1850 และแสดงวิถีชีวิตย้อนยุคของเหมืองแห่งนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเมืองคาวบอยในอเมริกา คือใช้ม้าเป็นหลัก และยังแสดงการร่อนทองจากลำธารและเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้ร่อนด้วยกันด้วย
ดูรูปยุค 10 กว่าปีก่อนที่ผมไปได้ข้างล่างครับ
เด็กๆ และผู้ใหญ่มาแสดงละครร่อนทอง แบบ reality show ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ผมไป เขาบอกว่าเป็นเด็กนักเรียนแถวนั้น และครูพามา อาจทำเป็นชั่วโมงพิเศษอะไรอย่างนั้น
ขวดที่ใส่ผงทรายปนผงทองคำเอาไว้โชว์นักท่องเที่ยว คนนี้อาจเป็นคุณครูที่คุมเด็กมา
ผมลองไปโพสต์ท่าหาทองกับเขาด้วย โปรดสังเกตุกระเป๋ากล้องวางอยู่ข้างถังไม้ ยุคนั้นผมพกทั้งกล้องถ่ายรุปและวิดีโอเบ้อเร่อ ยังไม่ย้อมผมเพราะหน้ายังอ่อน
ที่พักและเต๊นท์ของนักแสวงโชคที่มาขุดทองยุค 1850 เขาก็ยังสร้างขึ้นมาใหม่ให้ดูเหมือนจริง
เครื่องบดแร่แรงม้า
Stagecoach คันนี้ คนขับก็อาสาสมัคร หน้าตาแกให้แบบคาวบอยมาก
เข้าเมืองมาแล้ว โปรดสังเกตุเด็กๆ ชาวบ้านที่แต่งตัวมาช่วยงานแบบย้อนยุค ในเมืองนี้ ใครที่ไม่ได้แต่งตัวแบบยุค 1850 คือนักท่องเที่ยว นอกนั้นเขาจริงจังกันมาก(ยุคนี้อาจเปลี่ยนไป เพราะนักท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้มีเงิน และหิวกระหายที่เที่ยว ไม่ต้องทำดีมากก็ยังหาคนเที่ยวได้)
.
โพสต์ท่าถ่ายรูป แดดร้อนมาก เลยรู้ว่า ทำไมฝรั่งยุคตะวันตกที่ต้องทำงานกลางแจ้งนานๆ ต้องใส่หมวกคาวบอย
ร้านรับจ้างทำเครื่องใช้โลหะ เขาให้คนงานมาเป็น blacksmith มาทำด้วยเครื่องมือโบราณที่ยังใช้ได้จริงๆ ผลงานก็ขายเป็นของที่ระลึก จะเห็นวางอยู่บนเคาเตอร์หลายชิ้น
ทางไปเหมืองทอง
หุ่นคนงานเหมืองกำลังขุดทอง
สายแร่ทองคำจำลองเลียนแบบของจริงที่เคยพบ ให้เห็นว่าตอนเขาพบตามอุโมงค์ที่ขุดเข้าไปจริงๆ มันเป็นอย่างไร
หุ่นคนงานเหมืองทอง
พิพิธภัณฑ์แสดงก้อนแร่ทองคำจำลองที่สร้างเลียนแบบจากภาพถ่ายก้อนแร่ที่มีชื่อเสียงที่เคยพบที่นี่
< ย้อนกลับ |
---|
ความคิดเห็น
ก็ฝากช่วยกันถ่า ยทอดไอเดียให้คน รอบข้าง หรือใครที่มีอิท ธิพลทางด้านนี้ ช่วยกันสร้างแหล ่งท่องเที่ยวคาว บอยดีๆ ในไทยไว้หน่อยคร ับ
ติดตามความเห็นนี้ในรูปแบบ RSS feeds